เวียดนาม-อินโดฯ ส่งออกกาแฟลดลง ดันราคาพุ่ง
บรรดาคอกาแฟเริ่มหมดหวังที่จะเห็นการส่งออกกาแฟปริมาณมากจากประเทศปลูกกาแฟรายใหญ่ในเอเชีย ซึ่งจะช่วยลดความร้อนแรงของราคากาแฟโรบัสตาที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970
เวียดนามผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสตาประมาณ 1 ใน 3 ของอุปทานทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในเครื่องดื่มสำเร็จรูปและเอสเปรสโซ แต่ภัยแล้งที่ตามมาด้วยภาวะฝนตกหนักนานหลายสัปดาห์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่ปลูกกาแฟของเวียดนามก่อนที่การเก็บเกี่ยวจะเริ่มขึ้นในเดือนต.ค.
ทรินห์ ดึ๊ก มินห์ ประธานสมาคมกาแฟบวนมาถวต (Buon Ma Thuot Coffee Association) ในจังหวัดดั๊กลัก ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟใหญ่ที่สุดของเวียดนามระบุว่า สภาพอากาศแบบสุดขั้วและการลดลงของพื้นที่เพาะปลูกกาแฟ จะทำให้การเก็บเกี่ยวของเวียดนามลดลงประมาณ 10-15% ในฤดูกาลนี้
“ความแห้งแล้งทำให้ต้นกาแฟให้ผลผลิตน้อยลง และเมล็ดกาแฟก็มีขนาดเล็กลงด้วย” เขากล่าว “ภาวะฝนตกจะขัดขวางเกษตรกรในการเก็บเกี่ยวและการตากเมล็ดกาแฟ อีกทั้งยังทำให้การขนส่งยากลำบากขึ้นด้วย”
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ผลผลิตกาแฟของเวียดนามมากกว่า 95% ในฤดูกาลหน้านั้นจะเป็นกาแฟโรบัสตา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟแบบพกพา รวมถึงปริมาณกาแฟที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ ทำให้ราคากาแฟโรบัสตาพุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่าในปีที่ผ่านมา โดยราคากาแฟโรบัสตาขณะนี้เกือบเท่ากับราคากาแฟอาราบิการะดับพรีเมียมซึ่งพุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
โวลคาเฟ่ (Volcafe) ซึ่งเป็นผู้ค้ากาแฟรายใหญ่คาดการณ์ว่า จะมีการขาดแคลนกาแฟโรบัสตาทั่วโลกอย่างหนักในฤดูกาล 2567/2568 ที่จะเริ่มขึ้นในเดือนต.ค. ซึ่งจะเป็นการขาดแคลนเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
นอกจากนี้ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟในเวียดนามลดลง เนื่องจากเกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชทางเลือก เช่น ทุเรียนและอะโวคาโดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ส่วนในอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟโรบัสตาประมาณ 1 ใน 10 ของอุปทานทั่วโลกนั้น ความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่จำกัดการส่งออกกาแฟไปยังตลาดโลก มากกว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสภาพอากาศ
โมเอลโยโน ซูซิโล หัวหน้าฝ่ายกาแฟของสมาคมผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมกาแฟอินโดนีเซียกล่าวว่า ผลผลิตกาแฟอาจสูงถึง 10 ล้านถุง (ถุงขนาด 60 กิโลกรัม) ในปีนี้ ซึ่งจะสูงกว่าปี 2566 ราว 14%
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า การส่งออกกาแฟของอินโดนีเซียอาจจะยังคงทรงตัวที่ประมาณ 250,000 ตัน เนื่องจากความต้องการบริโภคภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เวียดนามยันไฟฟ้าไม่ดับ