เมียนมาเผยนโยบายเศรษฐกิจ
การเผยแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีของรัฐบาลพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (NLD) ของเมียนมา
ซึ่งกำหนดกรอบนโยบายครอบคลุมถึง 12 ภาคส่วนเศรษฐกิจในกรุงเนปิดอว์ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.เป็นการกำหนดกรอบเนื้อหาไว้ค่อนข้างกว้าง ทำให้บรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมเกิดความสับสนเนื่องจากไม่ลงลึกในรายละเอียด
นางออง ซาน ซูจี ประธานแห่งรัฐของเมียนมาได้มาเป็นประธานกล่าวในงานแถลงแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ถึงแม้ข้อมูลที่เปิดเผยมาจะค่อนข้างมีเนื้อหาทั่วไป โดยจะมีการเผยถึงรายละเอียดของนโยบายในภายหลัง เพื่อสนับสนุนนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
โดยในงานแถลงข่าว มีผู้มาร่วมงานทั้งมหาเศรษฐีหลายคนที่เป็นที่รู้จัก บรรดาทูตจากต่างประเทศ เจ้าหน้าที่จากภาครัฐ และบรรดาสมาชิกจากสหภาพสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา
นางอองซาน ซูจีกล่าวว่า นักลงทุนและทูตต่างประเทศได้ถามรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจมานาน จึงได้มีการเปิดเผยถึงกรอบนโยบายหลังจากรัฐบาลเข้ารับตำแหน่งมานาน 4 เดือน
นายเคียว วิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการคลังกล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจใน 12 ส่วนนี้ จะมุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางและเกี่ยวข้องกับการกระจายที่เพียงพอในทรัพยากรธรรมชาติระหว่างภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ ของเมียนมา เพื่อสนับสนุนให้เกิดความปรองดองและทำให้เป็นประเทศที่เปี่ยมด้วยประชาธิปไตย
ประเด็นสำคัญคือการเชื่อมโยงที่ชัดเจนกับกระบวนการที่ก่อให้เกิดสันติภาพกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ กำหนดการประชุมสหภาพเพื่อสันติในเดือนส.ค.ที่จะถึงนี้หวังว่าจะบรรลุจุดหมายในการปรับโครงสร้างของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่เกิดอยู่ถึงครึ่งประเทศเมียนมา
นางซูจียังได้เน้นในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหมายถึงปริมาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในเมียนมาและการเร่งพัฒนาในหลายภาคส่วน
นายซอ ซอ มหาเศรษฐีชื่อดังและประธานกลุ่มบริษัทแมกซ์กรุ๊ป กล่าวในงานเกี่ยวกับความต้องการที่จะเห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นในเมียนมา ในแง่ปริมาณงาน การว่างงาน การเกิดและมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
นายชิต ไคน์ ประธานอีเดนกรุ๊ปซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดกล่าวว่า นโยบายนี้ธรรมดาเกินไปแต่แสดงความเชื่อว่าจะมีรายละเอียดของแผนตามมาในไม่ช้า และนโยบายเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะถูกนำมาใช้ภายใต้รัฐบาลใหม่ ถึงแม้อาจต้องใช้เวลา และควรมีการปฏิรูปในหลายภาคส่วนเขากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อน แต่รัฐบาลควรบอกเราว่าธุรกิจใดที่จะถูกพัฒนาก่อน”
นายเต็ง ตัน ประธานธนาคารฟาวเดชั่น ซึ่งเป็นผู้นำเครื่องดื่มเป๊บซี่เข้ามาในเมียนมาในปี 2534 โดยบริษัทเมียนมาโกลเด้นสตาร์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิระวดีว่า รัฐบาลควรพัฒนารายละเอียดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจหลักเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงแผนการปฏิบัติการรายปี เขากล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เวลาหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง พวกเรานักธุรกิจควรได้รู้ว่าเราควรทำอย่างไร นโยบายเศรษฐกิจนี้ดูธรรมดาเกินไป ถ้ารัฐมนตรีไม่สามารถช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ก็ควรลาออกไป”.