“คูเตอร์เต้” ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สาบานตน
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายโรดริโก ดูเตอร์เต้ ได้เข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 16 ของฟิลิปปินส์
โดยเขาได้ให้สัญญาว่า จะทำสงครามปราบอาชญากรรมและการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังและไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
“จะเป็นการต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อและจริงจังยั่งยืน” นายดูเตอร์เต้ ซึ่งมีอายุ 71 ปีกล่าวยืนยันในสุนทรพจน์ที่มีความยาว 16 นาทีหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสาบานตน
เขากล่าวว่า“การดำเนินการเป็นเรื่องยาก แต่หากประชาชนทุกคนให้ความร่วมมือกับผม เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน เราจะได้เริ่มก้าวเดินในการต่อสู้ครั้งนี้”
มีแขกมากกว่า 600 คนในเครื่องแต่งกายสีสันสดใส ที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวนายดูเตอร์เต้ ซึ่งเป็นการผสมปนเปกันทั้งบรรดาคอมมิวนิสต์ นักธุรกิจชั้นนำ และเหล่าผู้ภักดีต่ออดีตเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ต่างมาชุมนุมกันในพิธีเข้ารับตำแหน่งที่จัดขึ้นที่มาลากันยัง พาเลซ ในกรุงมะนิลา
ประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ที่มีบุคลิกเป็นคนโผงผาง มุทะลุดุดัน ได้ประกาศกร้าวอีกครั้งในสุนทรพจน์ถึงจุดยืนของเขาคือ การหยุดยั้งอาชญากรรมและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
โดยเขากล่าวว่า “การคอร์รัปชั่นทั้งในระดับบนและระดับล่างในรัฐบาล อาชญากรรมบนท้องถนนและการซื้อขายยาเสพติดอย่างผิดกฎหมาย คือ ปัญหาร้ายแรงของประเทศในทุกวันนี้ ซึ่งต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ”
นายดูเตอร์เต้ให้คำมั่นว่าจะปราบปรามอาชญากรรมให้หมดไปภายใน 6 เดือน ซึ่งหมายถึงอาจต้องใช้วิธีการปราบปรามที่เด็ดขาดรุนแรงมากกว่าปกติ
เขามีชื่อเสียงจากการเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาที่พูดจาโผงผาง และปราบปรามอาชญากรรมด้วยการวิสามัญฆาตกรรมแก๊งอันธพาลป่วนเมืองลงได้อย่างราบคาบ ทำให้ได้รับฉายาว่า ‘ผู้ลงโทษ’ เขาใช้วิธีการที่รุนแรง จนทำให้มีผู้ต้องสงสัยถูกปลิดชีพไปอย่างน้อย 1,000 รายในเมืองดาเวา
ทั้งนี้ เขาได้เปลี่ยนแปลงเมืองดาเวาซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา จากเมืองไร้กฎหมายทางภาคใต้ของเกาะมินดาเนาให้กลายเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในประเทศ
ประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ กล่าวในสุนทรพจน์ว่า วิธีการของเขาในการปราบปรามอาจจะนอกรีตและสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายไปบ้าง แต่เขายืนยันว่า เขามีพยานที่เห็นสถานการณ์ว่า อาชญากรรมและยาเสพติดผิดกฎหมายได้ทำลายครอบครัวไปมากมาย ทรัพย์สินที่ได้มาก็ต้องถูกยึดหมด โดยเขาชี้ว่า “ถ้าคุณลองมองในแง่มุมนั้น คุณคงไม่บอกว่าผมผิดหรอก”
ทั้งนี้ เขาได้เรียกร้องให้บรรดาส.ส.และนักสิทธิมนุษยชน ปล่อยให้รัฐบาลได้ดำเนินการตามที่มีอำนาจสั่งการ โดยกล่าวว่า “คุณทำงานของคุณ และผมก็ทำงานของผม”