เบร็กซิทไม่กระทบบรูไน
คาดการณ์ว่า ธุรกิจของบรูไนจะไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากเบร็กซิท หรือการที่สหราชอาณาจักรตัดสินใจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป
ผู้ประกอบการในประเทศให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบรูไนไทม์เรื่องผลกระทบจากเบร็กซิท ซึ่งทำให้เงินปอนด์ร่วงลงต่ำที่สุดในรอบ 31 ปี พวกเขามองว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาสนใจที่จะลงทุนในตลาดเงินเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันค่าเงินบรูไนผูกติดกับสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์
เจ้าของธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้ามองว่า นอกจากความยุ่งยากเพิ่มขึ้นในการเดินทางระหว่างสหราชอาณาจักรและอียู ธุรกิจในบรูไนไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากนัก
เธอกล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าเบร็กซิทจะทำให้ยุ่งยากมากขึ้นในการเดินทางไปติดต่อธุรกิจกับซัพพลายเออร์ในยุโรป แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนัก ”
ทั้งนี้ เธอมองว่า ควรจะรอดูสถานการณ์ไปก่อนว่า เบร็กซิทจะส่งผลกระทบกับธุรกิจในบรูไนอย่างไรในระยะยาว
เธอเสริมว่า“ตอนนี้ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจบรูไนที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงมาก ซึ่งจะทำให้สินค้าที่ผลิตในอังกฤษราคาถูกลงมากสำหรับผู้ประกอบการอย่างเรา”
โดยตัวเธอเองเพิ่งจะขาดทุนกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากการลงทุนในตลาดเงิน หลังจากเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังรู้ผลการลงประชามติ แต่เธอเชื่อว่า นี่เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ซื้อเงินปอนด์เก็บไว้ได้มากขึ้น เธอคิดว่า “ ในระยะยาว การซื้อเงินปอนด์เพิ่มจะสามารถชดเชยเงินลงทุนที่เสียไปได้”
เจ้าของกิจการร้านขายอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์กล่าวว่า ธุรกิจของบรูไนจะได้เปรียบเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าของอังกฤษที่ราคาถูกลง แต่เขามองว่า เป็นเรื่องที่ยากขึ้นสำหรับผู้ที่มีธุรกิจและการลงทุนจำนวนมากในสหราชอาณาจักร
สำหรับนักลงทุน ซึ่งเป็นแหล่งข่าวคนหนึ่งจากอุตสาหกรรมธนาคารมองว่า ความอ่อนไหวของนักลงทุนยังมีความสับสนอยู่มากในเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่กระทบตลาดทั่วโลก
เขาให้ความเห็นว่า“ยังมีนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับบริษัทที่ถือเงินปอนด์ และค่าเงินปอนด์จะร่วงลงต่อไปนานแค่ไหน และมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่รอทำกำไรจากเงินปอนด์ที่ดิ่งเหวนี้ ”
เจ้าหน้าที่ภาครัฐมองว่า เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่า เงินปอนด์จะอ่อนค่าลงนานแค่ไหน และจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลา 2 ปีต่อจากนี้ ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะถึงกำหนดออกจากอียูอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ บางประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มมีแผนรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของเบร็กซิท หลังจากทราบผลประชามติที่ฝ่ายต้องการแยกตัวจากอียูชนะไปด้วยคะแนน 52% ต่อ 48% เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. นายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูล ของออสเตรเลีย ประกาศว่า ออสเตรเลียจะเป็นพันธมิตรกับนิวซีแลนด์ในการเจรจาการค้าใหม่และข้อตกลงเรื่องการเข้าประเทศ.