เมียนมาสกัดเงินจ๊าดอ่อนค่า
ที่เมืองย่างกุ้ง รัฐบาลเมียนมาได้ปรับเปลี่ยนกฏหมายในการนำเข้ารถฉบับใหม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศพุ่งทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 8 ปี
กฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.ปี 2559 กำหนดว่า เมียนมาอนุญาตให้มีการนำเข้ารถยนต์ ที่ผลิตในระหว่างปี 2549-2556 เพื่อเป็นพาหนะโดยสารส่วนบุคคลได้ ในส่วนรถโดยสารประจำทาง รถบรรทุก และยานพาหนะประเภทอื่นๆ ต้องผลิตในระหว่างปี 2557-2559 เท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติสำหรับใบอนุญาตในการนำเข้า ใบอนุญาตการนำเข้ารถยนต์จะแยกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้นำเข้าเสียภาษีได้ตรงตามมูลค่าของประเภทรถ
โดยตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในเมียนมามีเวลาถึงวันที่ 24 ธ.ค.นี้เท่านั้น ที่จะนำเข้ารถยนต์ภายใต้กฎหมายเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน การห้ามนำเข้ารถโดยสารและรถบรรทุกรุ่นเก่าจะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจไปในเวลาเดียวกัน ที่ผ่านมา เมียนมาต้องเผชิญกับความยาก ลำบากภายใต้การขาดดุลการค้าในเชิงโครงสร้าง ซึ่งทำให้ค่าเงินของเมียนมาอ่อนค่าลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือน พ.ย.2557
ทั้งนี้หลังจากมีการประกาศนโยบายใหม่นี้ในวันที่ 15 ธ.ค. อัตราแลกเปลี่ยนเงินจากธนาคารกลางของเมียนมาก็ไต่ระดับขึ้นมาเป็น 1,307 จ๊าดต่อ ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยผู้ค้าในตลาดมืดให้ราคาสูงถึง 1,315 จ๊าดต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยอัตรานี้นับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการปฏิวัติของพระสงฆ์ในเมียนมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งราคาในตลาดมืดในช่วงเวลานั้นอยู่ที่ 1,400 จ๊าดต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายโซ ทัน ประธานสมาคมผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของเมียนมา ให้ความเห็นว่า “มีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากในเวลานี้เพราะกฎหมายนำเข้ารถเก่าจะหมดอายุลงแล้ว แต่ผมคิดว่าค่าเงินจ๊าดจะแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในเดือนหน้า เมื่อเราใช้กฎหมายใหม่แล้ว”
จากการคาดการณ์ของธนาคารโลกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาจะซบเซาลงในเดือนต.ค. ตามมาด้วยความเสียหายจากน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบไปทั่วประเทศในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา และมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ล้วนเป็นปัจจัยลบที่กดดันค่าเงินจ๊าดให้อ่อนค่าลง
นายมวง ออง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จากกระทรวงพาณิชย์ ให้ความเห็นว่า รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างเพื่อจะพลิกฟื้นค่าเงินจ๊าด“มูลค่าการส่งออกของเมียนมาลดลง โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ หยก และอัญมณี รัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการเมือง”
นายเย เมียว เท รองประธานสหภาพสันนิบาตหอการค้า และอุตสาหกรรมเมียนมา (UMFCCI) ยังคงมองในแง่บวกว่าเศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพมากขึ้นหากมีรัฐบาลใหม่ เขาให้ความเห็นว่า
“เราต้องการกระแสเงินดอลลาร์ที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เหล่านักลงทุนยังคงรอดูสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ยังไม่มีปริมาณลงทุนเข้ามาในเมียนมามากนัก ผมคิดว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีรัฐบาลใหม่”
เขาสรุปว่า “รัฐบาลใหม่ต้องมีนโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ นโยบายที่ชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้านโยบายดี เศรษฐกิจก็จะดีด้วย”