“สิงคโปร์” เศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อเนื่อง
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) ได้ประกาศอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ไตรมาสที่ 1/2565 โดยไม่เปลี่ยนประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ตลอดปี 2565 ขยาย 3–5%
ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ไตรมาสที่ 1/2565 GDP ขยายตัว 3.7% ต่อปี และขยายตัว 0.7% รายไตรมาส (QoQ) ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ชะลอตัวลงจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ที่ขยายตัว 6.1% ต่อปี และ 2.3% รายไตรมาส
สำหรับอุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 4 อันดับแรก ได้แก่ 1.อสังหาริมทรัพย์ เติบโต 8.5% ต่อปี และ 7.1 รายไตรมาส (QoQ) (ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในช่วงเติบโตเร็วและเงินเฟ้อสูง) 2.สารสนเทศและการสื่อสาร ขยายตัว 8.2% ต่อปี จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสำหรับบริการดิจิทัล 3.บริการระดับมืออาชีพ ขยายตัว 8.1% ต่อปีโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ บริการและวิเคราะห์ทางเทคนิค สถาปัตยกรรม วิศวกรรม และกลุ่มบัญชี ซึ่งได้รับประโยชจากการผ่อนคลายการเข้าเมืองตามมาตรการ Vaccinated Travel Framework (VTF) และ4.อุตสาหกรรมการผลิต เติบโตร้อยละ 7.1% ต่อปี แต่หดตัวเล็กน้อย -0.2% รายไตรมาส (QoQ) โดยการผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing) ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดใน GDP สิงคโปร์ (ประมาณ 30%) โดยได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ การขนส่ง การผลิตทั่วไป และวิศวกรรมความแม่นยำสูง
อุตสาหกรรมที่ยังคงไม่ฟื้นตัวในไตรมาสที่ 1/2565 ได้แก่ โรงแรมที่พัก หดตัว -13.5% ต่อปี จากการหดตัว-5.1% ในไตรมาสที่ 4/2564 และหดตัว -23.9% รายไตรมาส จากการหดตัว -0.2% ในไตรมาสที่ 4/2564 เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์ยกเลิกนโยบายกักตัว (SDFs) และเพิ่งเปิดประเทศอย่างยิ่งในเดือนเม.ย.2565
นอกจากนี้ สิงคโปร์กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะเงินเฟ้ออย่างยิ่ง จากข้อมูลธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2565 อัตราเงินเฟ้อหลักเดือนเม.ย.2565 อยู่ที่ 3.3% เพิ่มขึ้นจาก 2.9% เมื่อเดือนมี.ค.2565 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าอาหาร ค้าปลีก ค่าไฟฟ้าและก๊าซ อัตราเงินเฟ้อจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI All Items) เดือนมี.ค.-เม.ย.2565 ถึง 5.4% ซึ่งสูดสุดในรอบ 10 ปี (ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2555) ทั้งนี้ MAS ประมาณการอัตราเงินเฟ้อหลักสำหรับปี 2565 ประมาณ 2.5 – 3.5% และประมาณการ CPI All Items อยู่ที่ 4.5 – 5.5% และเดือนมี.ค. 2565 สิงคโปร์มีอัตราการว่างงาน 2.2% ลดลงจาก 2.4% ในเดือนธ.ค.2564
สำหรับแนวโน้มทางเศรษฐกิจสำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2565 MTI ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP สิงคโปร์ปี 2565 ที่ 3–5% แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และการปิดเมืองของจีน การเติบโตน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งล่างของตัวเลขประมาณการดังกล่าว
ปัจจัยระหว่างประเทศและความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกทำให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ในช่วงต้นปีนี้เติบโตช้าลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2564 แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ภาคธุรกิจที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น เช่น 1.กลุ่มเคมีภัณฑ์และเชื้อเพลิงของภาคการค้าส่งได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว เนื่องจากจีนเป็นตลาดหลักที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์จากสิงคโปร์ และ 2.การขนส่งทางน้ำจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดเยื้อ และความแออัดของท่าเรือทั่วโลก (สิงคโปร์ขายน้ำมันดิบสำหรับเรือสินค้าได้น้อยลงจากการปิดนครเซี่ยงไฮ้ของจีนตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค.2565)
ทั้งนี้ สิงคโปร์สามารถรับมือกับไวรัสกลายพันธุ์ โอมิครอน (Omicron) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กอปรกับอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นที่สูง ทำให้สามารถผ่อนคลายมาตรการสาธารณสุขและมาตรการเข้าเมืองได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคการบินและการท่องเที่ยว ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งรวมถึงการขนส่งทางอากาศ อุตสาหกรรมศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ ธุรกิจบริการ การค้าปลีก-ส่ง และบริการอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานข้ามชาติสำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอุตสาหกรรมบริการก็น่าจะบรรเทาลงด้วย
การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคที่สำคัญ MTI สิงคโปร์ ประเมินว่าเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะมาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย น่าจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จากการบรรเทาลงของภาวะโรคระบาดและการผ่อนปรนของมาตรการสาธารณสุขภายในประเทศและการท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออกที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงจากมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวด เนื่องจากการระบาดระลอกล่าสุด ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะสั้น รวมทั้งส่งผลให้ต่างประเทศย้ายฐานลงทุนออกจากจีนมากขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเติบโตของจีดีพี น่าจะอยู่ในระดับปานกลาง ภาคแรงงานจะแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการบริโภค แต่การที่ห่วงโซ่อุปทานได้รับผลกระทบ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง อาจสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตของจีดีพี สหรัฐฯ ในปีนี้ ด้าน EU MTI สิงคโปร์คาดว่าเศรษฐกิจสหภาพยุโรปจะชะลอตัวลง เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนได้นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและปัญหาคอขวดของอุปทานที่รุนแรงขึ้น
ด้านข้อมูลเพิ่มเติมและข้อสังเกต สถานเอกอัครราชทูตฯ ประเมินปัจจัยเชิงบวกของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสต่อไป คือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การบิน และการจ้างแรงงานต่างชาติ จะช่วยกระตุ้นให้ภาคการบริการ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของสิงคโปร์ฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่ สิงคโปร์ยังคงเฝ้าระวัง ได้แก่ ผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พลังงานและอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัญหาดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อไป รวมถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ยังคงไม่นิ่งนอนใจ ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างฉับพลันเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ อาจทำให้ระบบการเงินและตลาดปรับตัวไม่ทัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพและความยั่งยืนของระบบการเงินโลกในระยะต่อไปด้วย
ขอขอบคุณแหล่งข่าวจาก : ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)