ฟิลิปปินส์เปลี่ยนใช้ทหารปราบยาเสพติด
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตแห่งฟิลิปปินส์กล่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ว่า จะใช้คำสั่งประธานาธิบดีให้กองทัพเข้ามาเป็นกำลังหลักในการปราบปรามยาเสพติด
ซึ่งเป็นภัยคุกคามความมั่นคงในระดับชาติและเขาจะสังหารผู้กระทำความผิดเพิ่มอีกถ้าจำเป็นต้องทำผู้นำฟิลิปปินส์ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกและกล่าวว่า เขาไม่ต้องการอำนาจพิเศษแต่อย่างใด แต่ต้องการนำกองทัพของฟิลิปปินส์เข้ามาปราบปรามปัญหายาเสพติด เพราะเขาไม่เชื่อถือในหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างตำรวจอีกต่อไปแล้ว
การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามยาเสพติดถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 30 ม.ค.เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการทุจริตที่ฝังรากลึกมายาวนานในองค์กร
โดยประธานาธิบดีดูเตอร์เตจำเป็นต้องสั่งยุติบทบาทของตำรวจหลังจากมีข่าวอื้อฉาวว่าตำรวจเข้าไปพัวพันกับการสังหารคน ลักพาตัว ขู่กรรโชกทรัพย์ และปล้นทรัพย์เป็นจำนวนมาก โดยใช้สงครามปราบยาเสพติดเป็นฉากบังหน้า
หนึ่งในคดีที่ฉาวไปทั่วโลก คือการที่กลุ่มตำรวจเข้าจับกุมตัวนักธุรกิจชาวเกาหลีใต้และสังหารเขาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขู่เรียกเงินค่าไถ่จากครอบครัว
ประธานาธิบดีดูเตอร์เตเปลี่ยนให้หน่วยงานปราบยาเสพติดเข้ามาทำหน้าที่แทนและให้กองทัพมีบทบาทในการสนับสนุนหลัก “ ผมจะใช้กองทัพเป็นหลักและยกระดับปัญหายาเสพติดเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติเพื่อร้องขอการสนับสนุนจากกองทัพ ผมมีหน่วยงานจำกัด แต่ก็ต้องสู้ต่อไป”
อดีตนายกเทศมนตรีเมืองดาเวากล่าวว่า ตำรวจและสำนักงานสอบสวนกลางของกระทรวงยุติธรรมล้วนแต่ไม่สามารถพึ่งพาได้ และให้สัญญาว่าจะต้องมีการกวาดล้างองค์กรตำรวจครั้งใหญ่
โดยประธานาธิบดีดูเตอร์เตไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะใช้กำลังทหารเท่าไรในการเข้ามาทำหน้าที่ปราบปรามในสงครามยาเสพติดนี้
มีผู้ถูกสังหารไปประมาณ 7,600 คนนับตั้งแต่เขาประกาศการปราบปรามยาเสพติดอย่างเฉียบขาดเมื่อ 7 เดือนก่อน และมากกว่า 2,500 คนที่ถูกตำรวจวิสามัญในระหว่างปฏิบัติการลับเพื่อล่อซื้อ
ผู้นำฟิลิปปินส์กล่าวว่า เขาไม่สนใจชีวิตของพ่อค้ายาและผู้เสพยาและกล่าวว่าเขาประเมินปัญหายาเสพติดไว้ต่ำเกินไป
“ คุณเสียใจกับคนพวกนี้เหรอ กี่คนนะ 3,000 คนเหรอ ผมจะฆ่าเพิ่มอีก ถ้าจะทำให้ปัญหายาเสพติดหมดไป ผมคิดว่าน่าจะจบได้ภายใน 6 เดือน ”.