จำคุกตลอดชีวิตครูข่มขืนนักเรียนอินโดนีเซีย

ศาลอินโดนีเซียตัดสินจำคุกตลอดชีวิตครูเจ้าของโรงเรียนประจำ ลดจากโทษที่อัยการเสนอประหารชีวิตและทำหมัน จากความผิดข่มขืนนักเรียนหญิง 13 คน ตลอดช่วงเวลานานกว่า 5 ปี จนนักเรียนตั้งครรภ์ 8 ราย คลอดทารกแล้ว 9 ราย

ผู้พิพากษาศาลเมืองบันดุง บนเกาะชวาตะวันตก ตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตนาย “เฮอร์รี วิราวัน” วัย 36 ปี ครูสอนศาสนาและภาษาอารบิก เจ้าของโรงเรียนประจำ “มาดานี บอร์ดดิง สคูล” ในเมืองบังดุง ข้อหาข่มขืนนักเรียนหญิงในโรงเรียนของตัวเอง 13 คน ผู้เสียหายอายุระหว่าง 11 -16 ปี เหตุเกิดตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2016 ทำให้เด็กนักเรียนหญิงตั้งครรภ์ 8 ราย คลอดทารกทั้งหมด 9 ราย ทารกอายุมากที่สุดยังไม่ถึง 5 ขวบ
คดีนี้อัยการเสนอโทษถึงศาลให้ตัดสินประหารชีวิตและทำหมันจำเลย แต่ศาลตัดสินโทษเพียงจำคุกตลอดชีวิตและไม่ต้องถูกลงโทษทำหมัน
เรื่องราวของนายวิราวัน ปรากฏสู่สาธารณะชนตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ภายหลังผู้ปกครองเด็กนักเรียนหญิงรายหนึ่งพบว่าลูกสาวตั้งท้อง นำไปสู่การขุดคุ้ยเรื่องนี้ กระทั่งพบว่านายวิราวัน ใช้วิธีชักนำเหล่านักเรียนหญิงเข้าเรียนด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กครอบครัวยากจน นักเรียนทุกคนต้องอยู่พักโรงเรียนประจำ ถูกยึดโทรศัพท์มือถือ ทั้งได้รับอนุญาตกลับบ้านเยี่ยมครอบครัวปีละ 1 ครั้ง ห้ามการติดต่อครอบครัวระหว่างพักในโรงเรียน

นายวิราวัน เริ่มลวนลามเด็กหญิง ด้วยข้ออ้างขอให้ช่วยนวดตัว ตามด้วยการเกลี่ยกล่อมบอกเด็กหญิงว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับภริยาไม่ได้ เพราะเธอไม่อยากมีลูกมากเกินไป ทั้งข่มขู่เด็กหญิงต้องเชื่อฟังและเคารพเขา มิเช่นนั้น พวกเธอจะถูกฉีกเสื้อผ้าที่สวมใส่ ส่วนเด็กหญิงที่ตั้งครรภ์คลอดบุตร เขาจะรับผิดชอบดูแลทั้งหมดและบางคนจะแต่งงานด้วย

ผู้พิพากษาระบุการตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตนายวิราวัน ไม่ใช่เพราะต้องการแก้แค้นจำเลย แต่เพราะไม่อยากให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สาธารณชน ซึ่งคดีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะจากกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและเด็ก.