สิงคโปร์ล็อกดาวน์รอบใหม่ถึง 13 มิ.ย.
สิงคโปร์ – สิงคโปร์ประกาศมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ที่อนุญาตให้ประชาชนมีการอยู่รวมกลุ่มกันได้เพียง 2 คน ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. – 13 มิ.ย. และห้ามรับประทานอาหารที่ร้านเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ
โดยอนุญาตให้แต่ละครัวเรือนรับแขกผู้มาเยือนได้เพียง 2 คนต่อวันเท่านั้น ขณะที่ประชาชนควรปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดต่อไป
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ห้ามไม่ให้มีการรับประทานอาหารที่ร้าน ให้เฉพาะสั่งกลับบ้านและเดลิเวรีเท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงเมื่อลูกค้าถอดหน้ากากอนามัย นั่งใกล้กันและรับประทานอาหารร่วมกัน
มีการขอให้สถานที่ทำงานต่างๆ กลับมาทำงานจากที่บ้านอีกครั้ง และนายจ้างต้องอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน หากเป็นตำแหน่งงานที่สามารถทำที่บ้านได้
ปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 46 รายจากคลัสเตอร์สนามบินนานาชาติชางงี ทำให้เป็นคลัสเตอร์ติดเชื้อใหญ่ที่สุดจาก 11 คลัสเตอร์ในสิงคโปร์ตอนนี้
นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงโพสต์บนเพจเฟซบุ๊กว่า “คลัสเตอร์ใหม่และเคสผู้ติดเชื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับชุมชนในชั่วข้ามคืนนั้นน่ากังวลใจมาก เรามีการตรวจสอบเชิงรุก และทำอย่างเต็มที่เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่เรายังคงต้องมีมาตรการคุมเข้มเพื่อหยุดจำนวนไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากเกินไป”
“โปรดอยู่บ้านให้มากที่สุด ออกจากบ้านเฉพาะงานสำคัญ และปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาล หากคุณออกไปข้างนอก โปรดจำไว้ว่าต้องเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย โหลดแอป TraceTogether และสวมหน้ากากอนามัย”
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า อนุญาตให้การจัดการดูแลเด็กยังคงเป็นไปตามเดิม โดยการเลี้ยงเด็กของปู่ย่าตายายจะไม่ถูกนับรวมในมาตรการคุมเข้มนี้ อย่างไรก็ตาม มีการกระตุ้นให้ผู้สูงวัยเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้มากที่สุด เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการดูแลหลานๆจากหลายครัวเรือน
นอกจากห้ามรับประทานอาหารที่ร้านแล้ว ยังห้ามกิจกรรมอื่นๆ ทั้งการออกกำลังกายและเล่นกีฬาในอาคาร รวมถึงบริการเสริมสวยที่ต้องถอดหน้ากากออก ขณะที่คุมเข้มห้ามมีการร้องเพลงและเล่นดนตรีด้วย
โดยนายกฯลียังโพสต์ขอให้ประชาชนไปรับวัคซีนต้านโควิด-19 เมื่อมีโอกาสเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง
“มาตรการใหม่จะยุ่งยากสำหรับทุกคน แต่หากเราทำหน้าที่ในส่วนของเราให้ดี และดูแลซึ่งกันและกัน เราจะประสบความสำเร็จในการหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส เหมือนกับที่เราเคยทำได้ในปีที่แล้ว”