เมียนมาปราบปรามปชช.โหด ตายเกิน 500 คน
ย่างกุ้ง : จนถึงวันที่ 30 มี.ค. มีประชาชนในเมียนมากว่า 500 คนแล้วที่ถูกตำรวจและทหารสังหารอย่างเหี้ยมโหดในการปราบปรามการประท้วงต้านรัฐประหารที่สั่งการโดยเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจจากนางอองซานซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือน
จำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงมากทำให้นานาชาติประณามการปราบปรามของรัฐบาลทหารที่มีต่อการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและเรียกร้องให้ปล่อยตัวนางซูจี
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศระงับข้อตกลงการค้ากับเมียนมา และอันโตนิโอ กูเตเรส เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้ทั่วโลกกดดันรัฐบาลทหารหลังจากมีผู้ประท้วงกว่า 100 คนถูกสังหารอย่างทารุณในวันเดียว
กลุ่มพันธมิตรทั่วเมียนมาซึ่งเป็นผู้ประท้วงปราศจากอาวุธถูกทหารยิงเข้าใส่ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยางและกระสุนจริง
โดยกลุ่มสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองระบุว่า มีรายงานยืนยันได้ว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 510 คน แต่เตือนว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้
เลขาธิการยูเอ็นกูเตเรสขอให้ทางการเมียนมาดำเนินการเปลี่ยนผ่านให้ประเทศกลับมามีประชาธิปไตยดังเดิม
“เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่ได้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนในระดับสูงเช่นนั้น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก” กูเตเรสกล่าวในระหว่างการแถลงข่าว
“ เราต้องการความเป็นเอกภาพ ประชาคมนานาชาติต้องกดดันร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง” เขากล่าว
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศว่า กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าและการลงทุน ซึ่งมุ่งหนุนธุรกิจแต่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นข้อตกลง จะถูกระงับไปจนกว่าเมียนมาจะกลับมามีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
“ สหรัฐฯขอประณามความรุนแรงป่าเถื่อนของฝ่ายความมั่นคงเมียนมาที่กระทำต่อประชาชน” แคเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าว
แถลงการณ์นี้ยังระบุว่า สหรัฐฯตัดสิทธิ์ GSP ซึ่งเป็นมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้ากับประเทศกำลังพัฒนา ที่เคยให้กับเมียนมา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุนองเลือด แต่ผู้ประท้วงยังคงออกมาชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.
แหล่งข่าวทางการทูตระบุว่า สมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะมีการประชุมกันในวันที่ 31 มี.ค.เพื่อปรึกษากันเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ หลังจากสหราชอาณาจักรเรียกร้องให้มีการประชุมฉุกเฉิน
ฝรั่งเศสประณามความรุนแรงว่าเป็นความมืดบอดและเสียหายร้ายแรง ขณะที่จีนร่วมประสานเสียงแสดงความกังวลกับนานาชาติในวันที่ 29 มี.ค. โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีความยับยั้งชั่งใจ
รัฐบาลรัสเซียระบุว่า มีความกังวลมากเนื่องจากมีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก แม้จะทราบกันดีว่ารัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลทหารก็ตาม
สหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้บรรดานายพลที่ก่อรัฐประหารและการปราบปราม แต่จนถึงตอนนี้ การกดดันยังไม่ส่งผลให้กองทัพมีท่าทีอ่อนลงแต่อย่างใด