กองทัพเมียนมาพร้อมถูกนานาชาติคว่ำบาตร
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ทูตพิเศษสหประชาชาติประจำเมียนมาระบุว่า กองทัพเมียนมาชี้แจงว่าพร้อมที่จะรับมือกับการถูกคว่ำบาตร และถูกนานาชาติโดดเดี่ยว หลังมีการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. โดยเธอขอให้หลายประเทศมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อให้เมียนมากลับมาปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีก
คริสตีน ชเรเนอร์ เบอร์กีเนอร์ ทูตพิเศษยูเอ็นประจำเมียนมาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตถึง 54 รายจากการที่เจ้าหน้าที่สลายการชุมุนมในวันที่ 3 มี.ค. นับเป็นวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการรัฐประหาร
โดยเธอมีกำหนดจะรายงานสรุปต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ 5 มี.ค.
เมียนมาเริ่มมีเหตุจลาจลตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจและควบคุมตัวนางอองซานซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือน และบรรดาผู้นำในพรรคสันนิบาตแห่งชาติดพื่อประชาธิปไตย หรือพรรค NLD โดยสาเหตุสำคัญคือพรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และพรรคทหารได้คะแนนเสียงลดลง ทางกองทัพไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยระบุว่ามีการโกงการเลือกตั้ง แต่กกต.ชี้แจงว่าการเลือกตั้งยุติธรรม
ชเรเนอร์ เบอร์กีเนอร์ระบุว่า ได้มีการพูดคุยกับรองผบ.สูงสุดคือนายพลโซวินแล้ว โดยเธอเตือนว่าเมียนมาจะถูกคว่ำบาตรและถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติเพราะการทำรัฐประหารของกองทัพ
“คำตอบคือ เราชินแล้วกับการถูกคว่ำบาตร และเราก็รอดมาได้” เธอกล่าวกับผู้สื่อข่าวในนิวยอร์ก
โดยเธอเสริมว่า รองผบ.สูงสุดโซวินกล่าวกับเธอว่า “ หลังหนึ่งปีไปแล้ว จะมีการเลือกตั้งใหม่”
เธอพูดคุยกับเขาล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.พ. และตอนนี้ต้องใช้การเขียนเพื่อสื่อสารกับกองทัพ
“ ในความคิดของฉัน ชัดเจนว่า กองทัพจะใช้ข้ออ้างให้มีการสอบสวนคนของพรรค NLD เพื่อตัดสินโทษให้พวกเขาถูกจำคุก”
“สุดท้ายแล้ว พรรค NLD จะถูกแบน และเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ทหารก็จะชนะ และอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อยๆ”
เธอระบุว่า เธอเชื่อว่ากองทัพ “เซอร์ไพรส์มาก” ที่มีการประท้วงต่อต้านรัฐประหารทั่วประเทศ
“ วันนี้ เรามีคนหนุ่มสาวที่อยู่กับเสรีภาพมานาน 10 ปี พวกเขามีโซเชียลมีเดีย มีการจัดตั้งที่ดีและมีความตั้งใจจริง” เธอระบุ
“ พวกเขาไม่อยากกลับไปถูกเผด็จการทหารปกครองและถูกโดดเดี่ยวอีก”
องค์การยูนิเซฟระบุว่า มีเด็กๆจำนวนมากในเมียนมาได้รับผลกระทบจากการที่ตำรวจปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ขณะที่รักษาการทูตเมียนมาประจำยูเอ็นที่ถูกรัฐบาลเมียนมาแต่งตั้งขึ้นมาแทนทูตคนเดิมที่ถูกปลดออกนั้นได้ประกาศลาออกแล้ว
หลายประเทศในอาเซียน ทั้งสิงคโปร์และเวียดนาม ประกาศเตรียมรับพลเมืองของตัวเองกลับประเทศ เนื่องจากกังวลว่าความรุนแรงจะลุกลามกลายเป็นสงครามการเมือง