‘โจโควี่’ อาสาฉีดวัคซีนโตวิดคนแรกของอินโดฯ
จาการ์ตา : ประธานาธิบดีโจโค วิโดโดขออาสาเป็นคนแรกในอินโดนีเซียที่ได้รับวัคซีนโควิด-19
โดยเขายังระบุว่า วัคซีนจะมีพร้อมสำหรับชาวอินโดนีเซีย “โดยไม่มีค่าใช้จ่าย” ในวีดีโอที่อัพโหลดบนช่องยูทูบของทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
อินโดนีเซียได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 จาก Sinovac Biotech ของจีนจำนวน 1.2 ล้านโดสในวันที่ 6 ธ.ค. และมีกำหนดรับวัตถุดิบในการผลิตวัคซีน 15 ล้านโดสจากบริษัทเดียวกันในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม วัคซีน CoronaVac ยังอยู่ในการทดสอบระยะสุดท้ายในอินโดนีเซีย รวมทั้งในบราซิล ชิลี และตุรกี องค์การอาหารและยาแห่งอินโดนีเซียจะอนุมัติรับรองคุณภาพ ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนเมื่อผลการทดสอบทางคลินิกออกมา
ในการสำรวจของรัฐบาลเดือนก.ย. มีผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 65% ที่ระบุว่า พวกเขาเต็มใจฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม มีเพียง 35% ของผู้ที่อยากฉีดวัคซีนเท่านั้นที่ระบุว่า พวกเขาเต็มใจจ่ายค่าฉีดวัคซีน
ประธานาธิบดีวิโดโด หรือที่มักเรียกกันว่า โจโควี่ ระบุในวีดีโอว่า “ ผมจะขออาสาฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นคนแรก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า วัคซีนที่ใช้นั้นปลอดภัย”
รัฐบาลมีแผนจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ฟรีให้กับบุคลากรสาธารณสุข ทหารและตำรวจ รวมทั้งข้าราชการประมาณ 32 ล้านคน ขณะที่ประชากรที่เหลือจะต้องจ่ายค่าฉีดวัคซีนเอง
ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีจำนวนประชากรกว่า 260 ล้านคน
การตัดสินใจนี้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ โดยบางคนเน้นย้ำความจริงที่ว่า ประเทศอื่นฉีดวัคซีนฟรีให้ประชาชน
“หลังจากได้รับฟังความเห็นจากประชาชนและหลังจากการประเมิน เราสามารถกล่าวได้ว่า วัคซีนโควิด-19 จะฉีดฟรีสำหรับประชาชนฟรีและไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร ” โจโควี่ระบุ
“ดังนั้น ผมขอให้สมาชิกคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หน่วยงานและรัฐบาลท้องถิ่นให้ความสำคัญกับวัคซีนในส่วนงบประมาณปี 2564 ผมยังขอให้รมว.คลังจัดลำดับความสำคัญค่าใช้จ่ายอื่นเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีวัคซีนให้ใช้ฟรี ทำให้ไม่มีเหตุผลที่ประชาชนจะไม่ฉีดวัคซีน”
องค์การอาหารและยาของอินโดนีเซีย ระบุว่า ช่วงเวลาเร็วที่สุดที่จะสามารถบริหารจัดการวัคซีนคือเมื่อทราบผลการทดสอบวัคซีนระยะสุดท้ายคือสิ้นเดือนม.ค.
นอกจากวัคซีนจาก Sinovac Biotech อินโดนีเซียยังทำงานร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ , แอสตราเซเนกาและโครงการวัคซีนทั่วโลก COVAX
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากโควิด-19 ด้วยตัวเลขผู้ติดเชิ้อกว่า 600,000 รายและมีผู้เสียชีวิตเกือบ 20,000 ราย