ยุโรปคุมเข้มครอบครองปืน
ยุโรปเสนอกฎหมายควบคุมอาวุธปืนฉบับใหม่เพื่อรับมือกับการก่อการร้ายและกราดยิงในที่สาธารณะ
สหภาพยุโรปเห็นพ้องกันที่จะห้ามการขายอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติที่มีอันตรายร้ายแรงและทำให้ยากขึ้นที่จะซื้ออาวุธอย่างถูกกฎหมายในยุโรป โดยประชาชนทั่วยุโรปจะต้องตรวจเช็คสุขภาพก่อนที่จะได้ใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธ โดยจะมีการจำกัดการซื้อขายทางออนไลน์ด้วย
นายฌอง-คล้อด จังเกอร์ หัวหน้าคณะกรรมาธิการยุโรป เรียกข้อตกลงนี้ว่า ‘ กฎในการควบคุมปืนในสหภาพยุโรป ’ โดยเขากล่าวว่า “ เราต้องต่อสู้อย่างหนักในการทำข้อตกลงเพื่อลดความเสี่ยงในการกราดยิงที่โรงเรียน ค่ายฤดูร้อน หรือการก่อการร้ายด้วยอาวุธปืนที่ถูกกฎหมาย ”
นอกจากนี้ ทางอียูยังจะทำให้การแกะรอยติดตามผู้ซื้ออาวุธเป็นเรื่องง่ายขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการขายซ้ำในตลาดมืด โดยประเทศในอียูจะเริ่มแชร์ข้อมูลร่วมกันในการขายอาวุธเพื่อให้แน่ใจว่า บุคคลที่ไม่สามารถเข้าประเทศใดประเทศหนึ่งได้ จะไม่สามารถซื้ออาวุธปืนได้ในประเทศอื่นๆ ในยุโรป
ทั้งนี้ ผู้มีอาวุธปืนในครอบครองในยุโรปมีจำนวนน้อยกว่าในสหรัฐฯ อ้างอิงจากสถิติจากภาครัฐ โดย 1 ใน 10 ของประชากรในยุโรป หรือ 10% เป็นเจ้าของอาวุธปืนหรือเคยครอบครองมาก่อน แต่จากสถิติของ Gallup research ในปี 2558 มีประชาชนชาวอเมริกันถึง 41% ที่มีปืน 1 กระบอกอยู่ในบ้าน ขณะที่อีก 28% ครอบครองอาวุธปืน 1 กระบอกเป็นการส่วนตัว
ท้ายที่สุดแล้ว 3 สถาบันสูงสุดของยุโรป ทั้งคณะกรรมาธิการ รัฐสภาและสภาสามารถบรรลุข้อตกลงทางการเมืองเกี่ยวกับกฎใหม่นี้ในวันที่ 20 ธ.ค. หลังจากมีการเจรจาอย่างยุ่งยากร่วมกันมานานกว่าหนึ่งปี
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปอยากผลักดันให้มีกฎที่เข้มงวดขึ้น คือการห้ามครอบครองอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ประเทศสมาชิกบางประเทศคัดค้านกฎหมายนี้ โดยฟินแลนด์เห็นว่าการห้ามจะกระทบต่อระบบการป้องกันความมั่นคงแห่งชาติ วิธีที่ถูกคือ ควรให้ผู้ครอบครองต้องได้รับการฝึกอบรมการใช้งานด้วย
นอกจากนี้ ทางประเทศเช็คและสวีเดนก็ประท้วงด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า การห้ามจะส่งผลกระทบกับผู้ที่ใช้อาวุธอย่างถูกกฎหมายทั้งในกีฬาและการล่าสัตว์ ในขณะที่ลักเซมเบิร์กเห็นต่างออกไป โดยอยากให้กฎระเบียบเคร่งครัดเข้มงวดกว่านี้
ทั้งนี้ มีการห้ามครอบครองอาวุธปืนอัตโนมัติในยุโรปแล้ว แต่กฎใหม่จะขยายการห้ามให้ครอบคลุมไปถึงอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติด้วย
อย่างไรก็ตาม กฎใหม่นี้ยังคงต้องรอการตกลงอย่างเป็นทางการจาก 3 สถาบันสูงสุดของยุโรปก่อนที่จะออกเป็นกฎหมายในปีหน้า.