SGP เปิดคลัง LNG ปีนัง ไตรมาส 4 ปีนี้
SGP เปิดให้บริการคลังก๊าซแอลพีจี North Port มาเลเซียแล้ว ส่วน คลังก๊าซแอลพีจี ที่เมืองปีนัง คาดจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มั่นใจรายได้ปี 62 เติบโต 10% โดยมีประมาณยอดขาดอยู่ที่ 3.8 ล้านตัน
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP กล่าวถึงความคืบหน้าการลงทุนในประเทศต่างๆ ล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดให้บริการคลังก๊าซแอลพีจีที่ North Port ใกล้เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 ตัน/เดือน ทำให้สามารถขยายศักยภาพการขายเพิ่มในฝั่งมาเลเซียตะวันตก ซึ่งมีศักยภาพมากในการขาย และบริษัทมีแผนเปิดคลังก๊าซแอลพีจี ที่เมืองปีนัง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562
ด้านคลังก๊าซแอลพีจีในประเทศเมียนมานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1/2563 โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 8,000-10,000 ตัน/เดือน
ส่วนแผนการลงทุนในประเทศบังคลาเทศ นั้น บริษัทอยู่ระหว่างหาพื้นที่ก่อสร้างคลังพร้อมโรงบรรจุก๊าซ LPG เพื่อสามารถรุกตลาดค้าปลีก (Retail market) ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่า โดยในปี 2562 บริษัทคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายแก๊สในบังคลาเทศราว 70% ในลักษณะของการขายส่งเป็นลำเรือ โดยปี 62 นี้คาดว่ายอดขายจะอยู่ราว 30,000 – 40,000 ตัน/เดือน
ส่วนการลงทุนสร้างคลังและโรงบรรจุก๊าซ LPG ในประเทศอินโดนีเซีย ขณะนี้ได้จัดตั้งบริษัทย่อย และดำเนินการจัดหาที่ดินเพื่อลงทุน คาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในปี 62
นอกจากนี้ จากยอดขายในประเทศต่างๆที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีแผนขยายกองเรือบรรทุกก๊าซ แอลพีจี แบ่งเป็นเรือ VLGC 1 ลำ และเรือบรรทุกก๊าซ แอลพีจี ขนาดเล็ก (Pressurize Cargo) อีก 3 ลำ เพื่อรองรับการเติบโตของยอดขายบริเวณ เอเซียตะวันตก
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า 2 แห่งในประเทศเมียนมา มีขนาดกำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ และขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทั้งสองแห่ง โดยบริษัทเชื่อว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะช่วยให้ผลกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอและมั่นคง รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้
“จากแผนการลงทุนและการเปิดคลังก๊าซแอลพีจี ในต่างประเทศ เชื่อว่าปี 2562 บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้ 3.8 ล้านตัน หรือเติบโตขึ้นราว 10 % จากปีที่ผ่านมา และเป้าหมายรายได้ที่ 75,000 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายที่ไว้วาง ซึ่งเป็นไปตามยอดขายต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการ LPG ในภูมิภาคเอเชียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูง โดยบริษัทจะเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ประเทศบังคลาเทศและเวียดนาม” นายศุภชัย กล่าว
สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 1/2562 มีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 459.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 455.76% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 100.77 ล้านบาท มีรายได้รวม 17,648.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,054.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 15,593.78 ล้านบาท เป็นผลมาจากยอดขายก๊าซ LPG ในต่างประเทศมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ราว 30% โดยราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกโดยรวมงวด 3 เดือนของไตรมาส 1/2562 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 462 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2561 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 523 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน