สรุปข่าว 1-9-63
หุ้น ตปท.-ไทย ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาด (31 ส.ค.) ลดลง 223.82 จุด (0.78%) ปิดที่ 28,430.05 จุด นิคเคอิ เพิ่มขึ้น 257.11 จุด (1.12%) ปิดที่ 23,139.76 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 79.82 จุด (0.68%) ปิดที่ 11,775.46 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 7.70 จุด (0.22%) ปิดที่ 3,500.31 จุด ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดตลาด(31.ส.ค. ) ที่ระดับ 1,310.66 จุด ลดลง 12.65 จุด (0.96%) มูลค่าการซื้อขาย 54,005.03 ล้านบาท
น้ำมันลด
PTT Station และบางจาก ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดลง 0.50 บาทต่อลิตร เว้น E85 ลดลง 0.30 บาทต่อลิตร มีผล 1 ก.ย. 2563 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีก ดังนี้ ULG = 29.16 บาทต่อลิตร, GSH95 = 21.75 บาทต่อลิตร, E20 = 20.24 บาทต่อลิตร, GSH91 = 21.48 บาทต่อลิตร, E85 = 18.04 บาทต่อลิตร, ดีเซล= 21.79 บาทต่อลิตร, HSD-B10 = 18.79 บาทต่อลิตร, HSD-B20 = 18.54 บาทต่อลิตร, ดีเซลพรีเมียม = 26.24 บาทต่อลิตร
น.ส.นันธิกา ธังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยถึงภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 7 เดือนแรกปี 2563 ว่า ลดลง 13.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเบนซิน ลดลง 5.4% กลุ่มดีเซล ลดลง 4.5% น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ลดลง 53.5% น้ำมันเตา ลดลง 20.7% น้ำมันก๊าด ลดลง 16.7% LPG ลดลง 16.8% NGV ลดลง 31.7% สาเหตุสำคัญมาจากภาครัฐได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
ทองคำขึ้น ลง
ราคาทองคำเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 28,750 ขายออกบาทละ 28,850 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 ขายออกบาทละ 29,350 บาท โดยตลอดทั้งวันมีการปรับขึ้นลง 2 ครั้ง ปรับขึ้น 50 บาท และปรับลง 50 บาท
ค่าเงินบาท
สำหรับค่าเงินบาทเทียบเงินสกุลโลก วานนี้ (31 ส.ค.) แข็งค่าขึ้นมา โดยธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารพาณิชย์ โดยให้เงินบาทมีค่า 31.078 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แบงก์พาณิชย์ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ใช้ซื้อขายกับลูกค้า โดยกำหนดค่าเงินบาทไว้ที่ 31.2506 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ, 41.9077 บาทต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ริง, 37.3762 บาทต่อ 1 ยูโรดอลลาร์, 29.8533 บาท ต่อ 100 เยน, 4.0559 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ฮ่องกง ,กำหนดค่าเงินบาทที่ 23.1809 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ และ 7.5748 บาท ต่อ 1 ริงกิตมาเลเซีย
“บิ๊กตู่” สั่งถอยเรือดำน้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้กองทัพเรือพิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2-3 มูลค่า 22,500 ล้านบาท ออกไปก่อน หลังมีกระแสไม่พอใจจากประชาชน ที่เห็นว่าควรนำงบประมาณในส่วนนี้ไปดูแล แก้ไขปัญหาปากท้อง จากนี้จะมีการเจรจากับทางการจีน ถึงความจำเป็นที่จะต้องชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไป
กองทัพเรือยอมถอย
กองทัพเรือส่งเอกสารชี้ถึงกรรมาธิการงบประมาณปี 2564 ยอมถอยการจัดซื้อเรือดำน้ำ โดยให้เหตุผลเพื่อความสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน จึงขอปรับลดงบประมาณในส่วนของการจัดซื้อเรือดำน้ำไว้ที่ 0 บาท โดยยืนยันว่าจะพยายามลดความเสี่ยงอันจะเกิดจากการยกเลิกการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไป ให้ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด
จี้ บิ๊กตู่ รับผิดชอบคดีเหมือง
ฝ่ายค้านรุมจวก พล.อ.ประยุทธ์ ให้รับผิดชอบ กรณีการใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ปิดเหมืองอัครา จนนำมาซึ่งการฟ้องร้องต่ออนุญาโตตุลาการ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรับผิดชอบทั้งหมด เพราะใช้คำสั่งของ คสช. ไปสั่งปิดเหมืองทอง ซึ่งกระทำมิได้เพราะผิดข้อตกลงทางการค้า รวมทั้งทางคิงส์เกต และต่างประเทศไม่ยอมรับมาตรา 44 ที่ คสช. บังคับใช้ เป็นแค่กฎหมายเฉพาะกิจที่มีผลแค่ในประเทศไทย
“บิ๊กตู่” พลิ้วคำพูด ผมรับผิดชอบเอง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่บอกว่าจะรับผิดชอบอย่างไรนั้นมันคนละเรื่อง คนละประเด็น ต้องย้อนกลับไปดูว่าสถานการณ์นั้นเป็นอย่างไร และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหานี้เลย รัฐบาลเป็นคนแก้ไขปัญหาตรงนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน โดยมีการทำผิดกฎหมายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่นายกฯเป็นคนมาหยุดการกระทำความผิดดังกล่าว
ฝ่ายค้านแพ้โหวตงบสู้คดี
ในการประชุมกรรมาธิการงบปี 64 มีการโหวตงบประมาณสู้คดีเหมืองอัคราในชั้นอนุญาโตตุลาการ โดยฝ่ายค้าน แพ้โหวตฝ่ายรัฐบาล 38 : 21 โดยมีการตัดแค่ 12 ล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมด 111 ล้านบาท
ยื่นแล้วรายงานแก้ รธน.
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธาน กมธ.ศึกษาแก้รัฐธรรมนูญ ยื่นรายงานของ กมธ.ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ หลังจากพิจารณาและจัดทำเนื้อหาแล้วเสร็จ มีเนื้อหา เช่น ข้อเสนอต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ทั้งควรแก้ไขและไม่ควรแก้ไข ยืนยันว่าเนื้อหาของ กมธ.มีความเป็นกลาง
“บิ๊กตู่” แถลงวันนี้(1 ก.ย.) คดีบอส
นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อนำสรุปรายงานการตรวจสอบ โดยรายงานมีจำนวน 100 หน้า และ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมแถลงข้อเท็จจริงด้วยตัวเองในวันที่ 1 ก.ย.63 พร้อมแจกเอกสารแก่สื่อมวลชน ก็จะทราบได้เลยว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด
“เสี่ยหนู” แถลงจุดยืนต้านสารพิษ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข แถลงจุดยืนต้านสารพิษ หลังจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ มีแนวโน้นให้ทบทวนมติคณะการกรรมการวัตถุอันตรายให้นำสารราราวอต และคลอร์ไพริฟอส กลับมาใช้ใหม่ โดยนายอนุทินยืนยันไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านอย่างถึงที่สุด