“ราชบุรีโฮลดิ้ง” เปลี่ยนชื่อเป็น “ราช กรุ๊ป”
บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น “บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)” แต่ “RATCH” ยังคงใช้เป็นชื่อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดังเดิม
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นการแสดงให้เห็นความชัดเจนในเป้าหมายการเติบโตของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายฐานธุรกิจสู่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและไฟฟ้า นอกเหนือจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายสร้างมูลค่ากิจการให้เติบโตถึง 200,000 ล้านบาทในปี 2566 โดยการลงทุนในโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในประเทศและต่างประเทศจะขับเคลื่อนเป้าหมายนี้อย่างมีนัยสำคัญ
“บริษัทฯ คาดหมายว่า การลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานจะเติบโตขึ้น และมีสัดส่วนประมาณ 25% ของการลงทุนรวมทั้งหมดในปี 2566 ด้วยชื่อใหม่ “ราช กรุ๊ป” ที่จดจำง่ายขึ้นจะช่วยให้การวางตำแหน่งของบริษัทฯ ในธุรกิจอื่นนอกธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนชื่อใหม่ครั้งนี้เป็นการรีแบรนด์ครั้งแรกของบริษัทฯ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2543 โดยมุ่งหวังจะยกระดับความเป็นสากลขององค์กร เพื่อตอบสนองเป้าหมายการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น และก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในภูมิภาคแปซิฟิก ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม จรรโลงประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติด้วย” นายกิจจา กล่าว
ชื่อ “ราช กรุ๊ป” ได้ยึดคำว่า “ราช หรือ RATCH” ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้มีส่วนได้เสียรู้จักและจดจำมาใช้เป็นชื่อใหม่ และยังมีความหมายที่ดีสื่อถึง ความยิ่งใหญ่ ความเจริญรุ่งเรือง และการผสานพลังของกลุ่มบริษัทฯ สำหรับตราสัญลักษณ์ สื่อถึงพลังของการเคลื่อนไหวของ “ราช กรุ๊ป” ที่จะเติบโตเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดี และเพิ่มความสุขให้กับทุกคนในอนาคต
บมจ. ราช กรุ๊ป (เดิมชื่อ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 มีทุนจดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 14,500 ล้านบาท มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 45% บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจในลักษณะของบริษัทโฮลดิ้ง โดยลงทุนถือหุ้นผ่านบริษัทย่อย และบริษัทร่วมทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การลงทุนมุ่งเน้นธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ต่อมาได้ขยายการลงทุนสู่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฟฟ้าและพลังงาน ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการลงทุนโครงการต่างๆ ใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย จีน และอินโดนีเซีย ประเทศไทยถือเป็นฐานประกอบธุรกิจหลัก