“บิ๊กตู่”เซ็นตั้งสอบ“คดีบอส”วิชา นั่ง ปธ. 30 วัน ต้องรู้เรื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี “แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฏหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน” มีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานกรรมการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฏหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน” มีเนื้อหาว่า
ตามที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่พ้องผู้ต้องหาในคดีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะขับขี่รถจักยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 พนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาหลายข้อหาและผู้ต้องหาหลบหนีการดำเนินคดี ต่อมาคดีบางข้อหา ได้ขาดอายุความ
ในส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้น พนักงานอัยการมีคำสั่ง ไม่พ้องและฝ่ายตำรวจไม่มีความเห็นแย้ง คำสั่งไม่ฟ้องจึงมีผลเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายซึ่งรวมถึงบุพการี บุตรและคู่สมรสที่จะฟ้องคดีเอง และขอทราบสรุปพยานหลักฐาน พร้อมทั้งความเห็นในการสั่งคดี หรืออาจขอดำเนินคดีใหม่ เมื่อได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี หรือขอความเป็นธรรมและความช่วยเหลือจากรัฐ
โดยที่คดีนี้อยู่ในความรับรู้และสนใจของประชาชนต่อเนื่องมาโดยตลอดนับแต่เกิดเหตุ เมื่อ พศ. 2555 เมื่อปรากฏผลการสั่งคดีอันเป็นขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมชั้นก่อนมีคำพิพากษาของศาลเช่นนี้ จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทางสื่อและสังคมทั่วไปอย่างกว้างขวาง ถือเป็นความอ่อนไหว กระทบกระเทือนความเชื่อมั่นในองค์กร เจ้าหน้าที่ และกระบวนการยุติธรรม
แม้ในส่วนของการใช้ดุลยพินิจ และการปฏิบัติหน้าที่ของพนังงานอัยการ ย่อมมีอิสระในการสั่งคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยไม่อยู่ในการบังคับบัญชาของฝ่ายบริหาร และแม้พนักงานสอบสวนจะอยู่ในการตรวจสอบตามกฎหมายและระเบียบ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตาม แต่กรณีนี้มีเหตุพิเศษที่สังคมควรมีโอกาสทราบในส่วนของข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตลอดจนพฤติการณ์และบุคลผู้เกี่ยวข้อง เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งหากมีส่วนใดที่ควรปรับปรุงแก้ไขให้การบังคับใช้กฎหมายและการพัฒนากระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ จะได้นำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปโดยเร่งด่วนต่อไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ประกอบด้วย
(1)ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการ
(2)ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ กรรมการ
(3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(4) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย กรรมการ
5.) ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประทศด้านกระบวนการยุติธรรม กรรมการ
(6) นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย กรรมการ
(7) คณะบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการ
(8) คณะบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรรมการ
(9) คณบดีคณะนิติตาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรรมการ
(10) ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ย.ป. กรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการดังกล่าว มีหน้าที่และอำนาจ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดี เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาองค์ความรู้ การปฏิบัติหน้าที่ และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม คลอดจนเสนอข้อแนะนำอื่น โดยไม่ก้าวล่วงหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของจ้าหน้าที่ในคดีดังกล่าว แล้วรายงาน นายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ แต่หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ข้อเสนอแนะในการปฏิรูปยังไม่แล้วเสร็จ อาจให้ขยายระยะเวลาอีกได้
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการรายงานเบื้องต้นต่อนายกรัฐมนตรี เป็นระยะทุก 10 วัน เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตาม คณะกรรมการมีอำนาจเชิญหรือประสาน ขอความร่วมมือหรือขอเอกสารต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่หรือหวยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบ สอบถาม หรือขอความเห็น และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความร่วมมือแก่คณะกรรมการ คณะกรรมการอาจรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะ และพิจารณาเรื่องร้องเรียนในคดีนี้ จากประชาชนได้