รมว.คลังสหรัฐฯชี้ชัทดาวน์อีกไม่ได้
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายสตีเวน มนูชิน รมว.กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อว่า การชัทดาวน์ปิดธุรกิจอีกเป็นรอบที่สองเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด -19 ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี และอาจก่อให้เกิดปัญหากับชาวอเมริกันอีกมาก
เขาออกความเห็นนี้เนื่องจากตลาดหุ้นวอลสตรีทมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการระบาดระลอกสองของไวรัสในสหรัฐฯ โดยรัฐเท็กซัสรายงานผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาลสูงที่สุดต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ขณะที่ 9 เคาน์ตีในรัฐแคลิฟอร์เนียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ หรือเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมากขึ้น จากรายงานของสื่อเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.
“เราไม่สามารถชัดดาวน์เศรษฐกิจอีกครั้ง ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้ว่าหากคุณชัทดาวน์เศรษฐกิจ คุณจะสร้างความเสียหายมากขึ้น” รมว.มนูชินระบุในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ
“และไม่เพียงแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีส่วนอื่นๆและเราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับประเด็นนี้คือปัญหาทางการแพทย์และทุกอย่างที่ชะลอตัว” เขาเสริม “ ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านประธานาธิบดีทำเป็นเรื่องที่รอบคอบมากแต่ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้มาก”
จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่สหรัฐฯเปิดเมืองทำให้นักลงทุนกังวลว่าสหรัฐฯอาจมีมาตรการปิดธุรกิจอีกครั้งเพื่อชะลอการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโคโรนา ความรู้สึกในแง่ลบทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมา 800 จุดในการซื้อขายช่วงเช้าวันที่ 11 มิ.ย. และ S&P 500 ติดลบ 2.6%
รมว.มนูชินยังระบุว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะกลับไปเสนอต่อสภาคองเกรสเพื่อของบประมาณใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจหากจำเป็น
“เรามีโครงการของเฟด เรามีเมนสตรีท (โครงการกู้ยืม) ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และเราเตรียมกลับไปที่สภาคองเกรส เพื่อของบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนแรงงานอเมริกัน” เขากล่าว “ ดังนั้น เราจะให้ทุกคนกลับไปทำงาน นี่เป็นเรื่องสำคัญเบอร์ 1 ของผมในการทำงานกับท่านประธานาธิบดี และเรากำลังจะทำเช่นนั้น”
ในเดือนพ.ค. ส.ส.พรรคเดโมแครตได้ผ่านกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เรียกกันว่า HEROES Act ซึ่งจะช่วยเรื่องสวัสดิการคนว่างงานได้จนถึงสิ้นปี 2563 นี้ และให้มีการผ่อนปรนในหลายเมืองและรัฐที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง
ขณะที่วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันเลือกที่จะรอดูสถานการณ์และพิจารณาทบทวนข้อมูลมากกว่านี้ เช่น รายงานเรื่องการจ้างงานที่ดีเกินคาดการณ์เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ก่อนที่จะโหวตเพื่อขยายจำนวนเงินขาดดุลงบประมาณส่วนกลาง โดยกฎหมายของพรรคเดโมแครตถือเป็นการเพิ่มเติมจากกฎหมาย CARE Act ที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามไปแล้วในเดือนมี.ค.