กลาโหมสหรัฐฯกังวล ‘ทรัมป์’ ขู่ใช้ทหารปราบประท้วง
วอชิงตัน (CNN) – เจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อ CNN ว่า มีความไม่สบายใจมากขึ้นในเพนตากอนแม้แต่ก่อนการประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ว่า เขาพร้อมจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุมความสงบในสหรัฐฯ
ขณะที่มีการยิงแก๊สน้ำตาจากทำเนียบขาวพุ่งไปที่ลาฟาแยตต์พาร์ค ทรัมป์ประกาศจากสวนกุหลาบในทำเนียบขาวว่า หากผู้บริหารรัฐและเมืองใดปฏิเสธที่จะ “ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” เขาจะใช้พรบ.ปราบกบฎ ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าย้อนไปตั้งแต่ปี 2350 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการใช้กำลังทหารเข้าปราบเหตุความไม่สงบของพลเมืองได้
“ผมเชื่อว่า เราในอเมริกาไม่คุ้นเคย หรือยอมรับให้เจ้าหน้าที่ทหารไปปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ เนื่องจากเรามีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนในสหรัฐฯ ” พลตรีโธมัส คาร์เดน ผู้บัญชาการ National Guard รัฐจอร์เจียกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 31 พ.ค. โดยเสริมว่า แม้ “เราจะยินดีที่จะทำ และรู้สึกเป็นเกียรติ นี่เป็นสัญญาณของช่วงเวลาที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ในฐานะประเทศ ”
นอกจากนี้ ยังมีความไม่สบายใจในบรรดาเจ้าหน้าที่ National Guard ที่ถูกมอบหมายภารกิจให้เคลื่อนกำลังเข้าประจำการภายในประเทศมากกว่าช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ทรัมป์ขู่ใช้กฎหมายปราบกบฎเนื่องจากหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ มีการประท้วงรุนแรงจนกลายเป็นการจลาจล โดยเขาขู่ว่าหากมีการปล้นทำลายทรัพย์สินเกิดขึ้น ก็เริ่มยิงได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากเกิดการประท้วงเป็นครั้งแรกในมินนิอาโพลิส เป็นการประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่ถูกตำรวจผิวขาวกดเข่าที่คอของเขานานจนเขาเสียชีวิต โดยทรัมป์ ซึ่งเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 กล่าวย้ำถึงกฎหมาย คำสั่ง และการใช้กำลังทหารกับพลเมืองอเมริกัน
ตั้งแต่คืนวันที่ 29 พ.ค. มีรายงานข่าวว่า ทรัมป์ถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปหลบอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินของทำเนียบขาวเพื่อความปลอดภัยและอาจพักอยู่ที่นั่นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ทรัมป์ย้ำถึงการใช้กำลังทหารเพื่อปราบผู้ประท้วง และยังเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐมีการรับมือกับผู้ประท้วงที่เด็ดขาดมากขึ้น ในเวลาต่อมา National Guard ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่กลุ่มคนที่ประท้วงอย่างสงบหน้าทำเนียบขาว
พล.ต.คาร์เดนบรรยายภารกิจในการเข้าร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่นว่า “ จากภารกิจทุกอย่างที่เราถูกขอให้ทำในรอบ 34 ปีที่ผมอยู่ในเครื่องแบบ นี่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุด” โดยเมื่อพูดถึงประสบการณ์ของเขาในจอร์เจีย เขาตระหนักว่าเป็นสถานการณ์ที่ถูกร้องขอมา และระบุว่า เขาเชื่อว่า National Guard มีหน้าที่ในการยับยั้งและทำให้เกิดความสงบ
มาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ว่า ตอนนี้มีกำลังทหาร National Guard กว่า 17,000 นายที่เข้าประจำการใน 29 รัฐและกรุงวอชิงตัน มากกว่าช่วงภัยพิบัติจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเมื่อปี 2548 โดยเจ้าหน้าที่อีก 45,000 นายทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนเพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา
รัฐบาลทรัมป์เรียกกำลังพลมาประจำการเพิ่มในกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. เป็นเจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 200 – 250 นายจากฟอร์ท แบรกก์ในนอร์ธ แคโรไลนา โดยจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มกันความปลอดภัย แต่ไม่มีหน้าที่ในการเข้าจับกุม และคุมขังผู้ประท้วง เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมยังระบุว่า มีการเรียกกำลังเสริมอีก 600 – 800 นายจาก 5 รัฐเพื่อเข้ามาเสริมทัพกับ National Guard ในกรุงวอชิงตันเพื่อรับมือกับเหตุความไม่สงบ โดยจะมาถึงเร็วที่สุดในคืนวันที่ 1 มิ.ย.
ในสวนกุหลาบของทำเนียบขาว ในขณะที่มีเสียงผู้ชุมนุมและเสียงยิงแก๊สน้ำตา ทรัมป์ระบุว่า เขาจะมีปฏิบัติการ “อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” เพื่อปกป้องวอชิงตัน และจะส่ง “ เจ้าหน้าที่ทหารหลายพันนายพร้อมอาวุธหนัก เพื่อหยุดการจลาจล การปล้นสะดม การจู่โจมทำร้าย และการทำลายทรัพย์สิน”
โดยเขายังระบุว่า เขาได้แนะนำให้ผู้ว่าการรัฐทุกรัฐใช้ National Guard เพื่อควบคุมสถานการณ์ หากรัฐใด หรือเมืองใดไม่ยอมทำ ทรัมป์ระบุว่า “ เขาจะใช้กำลังกองทัพสหรัฐฯ และเข้าแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว”