สหรัฐฯห้ามบราซิลเข้าประเทศหลังยอดตายพุ่ง
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ทำเนียบขาวขยับกำหนดเวลาห้ามการเดินทางจากบราซิลเข้าสหรัฐฯให้เร็วขึ้น หลังจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด -19 ในบราซิลในรอบวันสูงแซงสหรัฐฯ
โดยแถลงการณ์ของสหรัฐฯ ระบุเวลาในการเริ่มคำสั่งห้ามเดินทางตั้งแต่เวลา 23.59 น.ของคืนวันที่ 26 พ.ค.แทนที่จะเป็นวันที่ 28 พ.ค.ตามคำประกาศเดิมในวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา
สองวันก่อนหน้านี้ บราซิลมียอดผู้ติดเชื้อแซงรัสเซียขึ้นมาเป็นประเทศที่มีการระบาดมากอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยคำสั่งแบนของรัฐบาลสหรัฐฯ มีผลกับชาวต่างชาติที่เดินทางมาสหรัฐฯ และอยู่ในบราซิลในสองสัปดาห์ล่าสุด
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของบราซิลในรอบ 24 ชม.สูงกว่าผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯเป็นครั้งแรกในวันที่ 25 พ.ค.โดยบราซิลมีผู้เสียชีวิต 807 รายและสหรัฐฯมีผู้เสียชีวิต 620 ราย
ขณะที่บราซิลมีผู้ติดเชื้อสะสม 374,898 ราย เป็นรองสหรัฐฯที่มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 1.637 ล้านคน โดยสหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตเกือบ 1 แสนคน ขณะที่บราซิลมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23,473 ราย จากข้อมูลของรอยเตอร์
ทำเนียบขาวไม่ได้ให้เหตุผลที่เลื่อนเวลาบังคับใช้คำสั่งห้ามเดินทางจากบราซิลเข้าสหรัฐฯ ให้เร็วขึ้น โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ซึ่งกำกับดูแลด่านตรวจคนเข้าเมือง ยังไม่ได้ให้ความเห็นกับสื่อในประเด็นนี้
คำสั่งห้ามเดินทางส่งผลกระทบด้านลบกับประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ซึ่งทำตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ในการรับมือกับโรคระบาด เรียกร้องให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมและผลักดันยาที่ยังไม่มีผลการวิจัยรับรอง
“ นี่เป็นการสั่นคลอนคำกล่าวอ้างของโบลโซนารูในการสร้างความสัมพันธ์กับทรัมป์ และที่อ้างว่าบราซิลเป็นพันธมิตรที่มีอภิสิทธิ์ของสหรัฐฯ” ครีโอมาร์ เดอ ซูซา จากบริษัทที่ปรึกษา Dharma Political Risk And Strategy ให้ความเห็น
โบลโซนารูประเมินโรคระบาดต่ำกว่าความเป็นจริงตั้งแต่ตอนแรก และระบุว่าไวรัสโควิด-19 เป็นแค่ “ไข้หวัดนิดหน่อย” เหมือนกับทรัมป์ที่ระบุว่า เขาเชื่อว่าไวรัสจะหายไปโดยเร็ว
ทำเนียบขาวระบุว่า คำสั่งห้ามนักเดินทางจากบราซิลจะช่วยทำให้แน่ใจว่าชาวต่างชาติจะไม่นำการระบาดของไวรัสเพิ่มเข้ามาในสหรัฐฯอีก แต่จะไม่มีการห้ามในเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ โรเบิร์ต โอไบรเอน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ระบุว่า เขาหวังว่าคำสั่งห้ามเดินทางนี้จะคงอยู่อย่างถาวร