สิ้น เม.ย.รับเยียวยาฯ 7.5 ล.คน แต่มีรอคิวอีก 6.5 ล.ราย
คลังแจง! ถึง 29 เม.ย. จะมีคนได้รับเงินเยียวยา “5 พัน” มากถึง 7.5 ล้านราย รวม 3.8 หมื่นล้านบาท ย้ำ! ส่งทีมงาน “พิทักษ์สิทธิฯ” 2.3 หมื่นคน ลงพื้นที่เก็บข้อมูล เร่งปรับกลุ่มทบทวนสิทธิ์เป็น “กลุ่มสีเขียว” รอรับเงิน ระบุกลุ่มไม่ยื่นทบทวนสิทธิ์ฯ ระวังถูกหลอก เผยยังมีคนอีก 6.5 ล้านคน รอรับสิทธิ์นี้ แนะรัฐเร่งจ่ายเยียวยาฯไปก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แล้วค่อยตามเช็คบิลทีหลัง หวั่นเกิดเหตุโศกนาฏกรรมซ้ำ!
นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังกล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท ในช่วงวันที่ 8-24 เม.ย. 2563 ว่า ได้โอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิแล้ว 4.9 ล้านราย คิดเป็นเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท โดยวันที่ 27-28 เม.ย. มีกำหนดทยอยโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิอีก 1.5 ล้านราย และในวันที่ 29 เม.ย. จะดำเนินการโอนเงินเยียวยาให้อีก 1.1 ล้านราย ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดต่อวัน ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 8-29 เม.ย. จะมีผู้ได้รับเงินเยียวยารวม 7.5 ล้านราย คิดเป็นเงิน 3.8 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ มีความคืบหน้าในด้านอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ มีผู้ขอยกเลิกการลงทะเบียน 9.4 แสนราย ขอทบทวนสิทธิ 3.4 ล้านราย ขอสละสิทธิ 1,675 ราย และมีกลุ่มขอข้อมูลเพิ่มเติม 6.3 ล้านราย ได้เข้ามากรอกแบบสอบถามออนไลน์เรียบร้อยแล้ว5.2 ล้านราย ยังคงเหลือผู้ไม่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก 1.1 ล้านราย จึงขอให้เร่งเข้ามากรอกแบบสอบถามที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com เพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิจากมาตรการอย่างรวดเร็ว
โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำว่า หลังจากที่ได้เปิดให้ผู้ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิได้นั้น กระทรวงการคลังได้มอบหมาย “ผู้พิทักษ์สิทธิ” กว่า 23,000 คน สับเปลี่ยนลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติงานทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.เป็นต้นมา ไม่เว้นวันหยุดราชการ เพื่อทำหน้าที่ยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น
ทั้งนี้ ในหลายพื้นที่ผู้พิทักษ์สิทธิได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยด้วยโดยมีขั้นตอนการปฏิบัติงานและหน้าที่ของผู้พิทักษ์สิทธิ ดังนี้
1) ผู้พิทักษ์สิทธิจะโทรศัพท์นัดหมายผู้ทบทวนสิทธิล่วงหน้าทุกราย
2) เมื่อลงพื้นที่ไปพบผู้ทบทวนสิทธิ ผู้พิทักษ์สิทธิจะมีการแสดงตนอย่างชัดเจน (อาจขอให้ผู้พิทักษ์สิทธิแสดงบัตรประจำตัวหรือเอกสารหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานได้)
3) จะมีการใช้แอพพลิเคชั่น “ผู้พิทักษ์สิทธิ” ที่ติดตั้งในโทรศัพท์มือถือของฝ่ายเจ้าหน้าที่ เป็นเครื่องมือในการขอยืนยันตัวตนของผู้ทบทวนสิทธิ และถ่ายภาพหลักฐานต่างทุกขั้นตอน
4 )ข้อมูลที่สำรวจและจัดเก็บจะถูกส่งตรงจากแอปพลิเคชันกลับมายังฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ขอทบทวนสิทธิ ดำเนินการดังต่อไปนี้
1) เมื่อท่านได้ยื่นความประสงค์ขอทวบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์แล้ว ขอให้เตรียมบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง ตลอดจนเอกสารและหลักฐานแสดงการประกอบอาชีพล่วงหน้าให้พร้อม เช่น ภาพถ่ายการประกอบอาชีพตามอาชีพที่ได้ลงทะเบียนไว้ ใบอนุญาตประกอบอาชีพ ภาพถ่ายกับสถานประกอบการ เป็นต้น
2) ผู้พิทักษ์สิทธิมีหน้าที่ยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้โดยไม่มีอำนาจพิจารณาคุณสมบัติว่าท่านจะได้รับเงินเยียวยาหรือไม่
“ขอให้ระมัดระวังการแอบอ้างหลอกลวงโดยผู้ไม่หวังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากท่านไม่ได้ยื่นขอทบทวนสิทธิกระทรวงการคลังจะไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปนัดหมายพบปะกับท่านแต่อย่างใด” โฆษกกระทรวงการคลังย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นับจากวันแรกที่มีการโอนเงินเยียวยาฯ ให้กับผู้ลงทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์คัดกรอง คือ วันที่ 8 – 29 เม.ย. จะมีผู้ได้รับเงินเยียวยาฯจริง 7.5 ล้านคน นั่นหมายความว่า ยังมีผู้ที่จะได้รับสิทธิ์รับเงินเยียวยาฯ แต่ยังไม่ได้รับเงิน 5,000 บาท รวมกันมากถึง 6.5 ล้านคน ตามกรอบใหม่ที่คณะรัฐมนตรี มีมติเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาเป็น 14 ล้านคน และคนจำนวน 6.5 ล้านคนนี้ ยังคงมีภาระจ่ายในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายรายเดือน ภายหลังที่ถูกสั่งให้หยุดทำงาน ตามมาตรการของรัฐ เมื่อวันที่ 22 มี.ค.
ทั้งนี้ ความล่าช้าของการจ่ายเงินเยียวยาฯ อาจกลายเป็นภาระรายจ่ายที่ 6.5 ล้านคน ต้องแบกรับต่อเนื่องนับจากสิ้นเดือน มี.ค.ถึงสิ้นเดือน เม.ย. รวม 2 เดือน และไม่รู้ว่า 6.5 ล้านคนนี้ จะได้รับเงินเมื่อไหร่ จะทันกับปัญหาความเดือดร้อนที่ได้รับ กระทั่ง ตัดสินใจทำอย่างหนึ่งอย่างใดจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมอีกหรือไม่ น่าที่รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ควรพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาให้กับ 6.5 ล้านคน รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการดูแลและเยียวยาในครั้งนี้โดยเร็ว แล้วค่อยตามไปตรวจสอบรายละเอียดในภายหลัง เช่นที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้หรือไม่.