ธนาคารพาณิชย์ กังวลเศรษฐกิจไทยเสี่ยงตกงานเป็นประวัติการณ์
ธนาคารพาณิชย์ห่วงเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดจบแน่ชัด จากผลของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกสาขาธุรกิจ โดยมีความรุนแรงเป็นพิเศษในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว วิกฤติดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานซึ่งมีสัญญาณความอ่อนแอมาตั้งแต่ในช่วงก่อนหน้า โดยกลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราว ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และลูกจ้าง SMEs ซึ่งถือเป็นคนส่วนมากถึง 62% ของกำลังแรงงานไทย
นายจ้างและลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างหนักทั้งในแง่การประคับประคองกิจการ การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการทำงานที่ลดลง
ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอาจแจกแจงได้เป็น 4 ด้าน ได้แก่
(1) การถูกสั่งปิดกิจการชั่วคราวโดยอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย
(2) รายรับที่ลดลงอย่างมากจากมาตรการ lockdown หรือการรณรงค์ให้มีระยะห่างทางสังคม
(3) กระบวนการผลิตชะงักงันจากการรับมอบวัตถุดิบหรือส่งมอบสินค้าที่ไม่เพียงพอหรือไม่ทันการ (supply chain disruption) หรือ
(4) ลูกค้าธุรกิจชะลอการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (trade credit)
KKP Research เกียรตินาคินภัทร คาดการว่างงานจะพุ่งสูงถึงกว่า 5 ล้านคนจะมีการเลิกจ้างงานหรือถูกพักงานโดยไม่มีรายได้ เพิ่มขึ้นจาก COVID-19 อีกกว่า 4.4 ล้านคน ส่งผลให้การว่างงานโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.9 ล้านคนหรือคิดเป็น 13.2% ของกำลังแรงงานไทย โดยภาคธุรกิจที่จะมีการเลิกจ้างหรือพักงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจโรงแรมและบริการอาหาร ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานลดลงถึง 1.5 ล้านคน (-25%) และ 9.9 แสนคน (-34%) ตามลำดับ
นอกจากนี้ การจ้างงานในธุรกิจบันเทิง ก่อสร้าง และธุรกิจขนส่งจะได้รับผลกระทบสูงถึงราว 24-28% ขณะที่ในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบทั้งจากคำสั่งซื้อจากในและต่างประเทศที่ลดลง การติดขัดในห่วงโซ่การผลิต และสต๊อกสินค้าคงคลังเดิมที่อยู่ในระดับสูง คาดว่าการจ้างงานจะลดลง 5.8 แสนคนหรือ 10% จากระดับการจ้างงานก่อนสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินไว้
ด้าน SCB EIC พบว่า ตลาดแรงงานของไทยมีหลายสัญญาณของความอ่อนแอตั้งแต่ในช่วงก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ COVID-19 ดังนี้
1. จำนวนผู้มีงานทำลดลง จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนผู้มีงานทำของไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยจำนวนผู้มีงานทำเฉลี่ยในปี 2019 อยู่ที่ 37.6 ล้านคน ลดลงไป 4.8 แสนคนเมื่อเทียบกับจำนวนเฉลี่ยในปี 2014 ทั้งนี้สาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเชิงวัฏจักร คือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ความต้องการแรงงานมีน้อยลง และปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการออกจากกำลังแรงงานของกลุ่มผู้สูงอายุ
ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 5.4 เป็น 6.8 ล้านคนในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้จำนวนผู้มีงานทำเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปีนี้ยังอยู่ในแนวโน้มขาลง โดยมีจำนวนอยู่ที่ 37.4 ล้านคน ลดลง -0.8%YOY ซึ่งนับเป็นการหดตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน
2. จำนวนชั่วโมงการทำงานลดลง จำนวนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานไทยในปี 2019 อยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 44.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในปี 2014 สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของกลุ่มคนทำงานล่วงเวลา (แรงงานที่ทำงานตั้งแต่ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป) เป็นสำคัญ โดยคนกลุ่มนี้มีจำนวนลดลงจาก 9.7 เหลือ 6.8 ล้านคน หรือหายไปถึง 2.9 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้แนวโน้มการลดลงของจำนวนชั่วโมงการทำงานยังคงมีให้เห็นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนจากจำนวนของคนทำงานล่วงเวลาที่ยังคงหดตัว -7.6%YOY
3. จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น จำนวนผู้ว่างงานรวมเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ประมาณ 4 แสนคนเพิ่มขึ้น 14.8%YOY นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน นอกจากนี้ จากข้อมูลผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ของสำนักงานประกันสังคมล่าสุดพบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2020 จำนวนผู้ประกันตนที่ว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 แสนคน เพิ่มขึ้น 4.5%YOY โดยอัตราการว่างงานของผู้ประกันตนมาตรา 33 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่หลังช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008-2009
สุดท้ายหลังผ่านพ้นมาตรการ lockdown สถานการณ์ในตลาดแรงงานจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ตามเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัว และผลจาก COVID-19 ที่จะยังมีอยู่ต่อเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนตราบใดที่ยังไม่มียารักษาและวัคซีน ท้ายสุดเราต้องระมัดระวังการใช้จ่ายอยู่ที่ตัวของเราเองว่าจะฝ่าฟันกับวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้อย่างไร