อุตสาหกรรมอาหารกังวลเรื่องเบร็กซิท
เกษตรกร ซูเปอร์มาร์เก็ตและซัพพลายเออร์ด้านอาหารเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเธเรซา เมย์ยังคงปกป้องข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปหลังจากเบร็กซิท
โดยผู้บริหารของอุตสาหกรรมอาหารกล่าวว่า หากทำไม่ได้จะส่งผลกระทบต่อซัพพลายอาหารและเครื่องดื่มและทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น
สหภาพเกษตรกรแห่งชาติ (NFU) สมาพันธ์อาหารและเครื่องดื่ม (FDF) และสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (BRC)ได้รวมตัวกันออกจดหมายเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีร่วมกัน
โทนี สคูเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EEF กล่าวว่า “ อียูเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดในภาคส่วนอุตสาหกรรมอาหารของเราในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ซับซ้อนและตึงเครียดในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเริ่มเดินหน้ากระบวนการแยกตัวออกจากอียูในวันที่ 29 มี.ค. โดยเธอจะยื่นใช้มาตรา 50 เพื่อขอแยกตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการ และจะใช้เวลา 2 ปีในการทำให้เงื่อนไขสำเร็จลุล่วง
โดยทาง NFU, BRC และ FDF ยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรีเพื่อให้แน่ใจว่าภาษีศุลกากรจะไม่สูงขึ้นและกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้า ถึงแม้ส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมจะอยู่ในสหราชอาณาจักร แต่ก็ไม่อาจดำเนินการอย่างโดดเดี่ยวได้
เฮเลน ดิกคินสัน ผู้อำนวยการทั่วไปของ BRC กล่าวว่า อียูเป็นกลุ่มคู่ค้าด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร
“ เพื่อให้ราคาสินค้าต่ำสำหรับผู้บริโภค เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องไม่มีภาษีศุลกากรใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอีก และเรายังคงส่งอาหารถึงมือผู้บริโภคได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด”
สมาชิกของกลุ่มมีทั้งฟาร์มในสหราชอาณาจักร ยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เช่น แบรนด์เนส์เล่ และเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเทสโก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงจะเป็นการดีกว่าการลงนามในข้อตกลงที่จะทำให้สหราชอาณาจักรตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประกอบการอาหารชี้ว่า อุตสาหกรรมและผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบหากไม่มีข้อตกลงทางการค้า ที่น่ากังวลคือภาษีศุลกากรหลังจากเบร็กซิท
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอาหารประเมินว่า สมาชิกในกลุ่มมีการจ้างงานทั้งหมด 3.9 ล้านคน และมีมูลค่า 108,000 ล้านปอนด์ต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในแต่ละปี
นอกจากนี้ ยังเสริมว่า ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มพึ่งพาการส่งออกเพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้น และนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง ขณะที่ผู้ค้าปลีกต้องการเข้าถึงสินค้าได้ตลอดทั้งปี.
หมายเหตุ 1 ปอนด์ = 44.31 บาท / 29 มี.ค.2560