ไทยต้านคอรัปชั่นไม่สำเร็จ
รัฐบาลไทยสอบตกหลัง “องค์กรความโปร่งใสสากล” ชี้ประเทศยังมีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับการคอรัปชั่น จากเดิมปีที่แล้วอยู่อับดับที่ 76 ปีนี้ล่วงลงมาอยู่ที่ 101 ได้เพียง 35 คะแนน ขณะที่นิวซิแลนด์แชมป์อันดับ 1
สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ว่า กลุ่มตรวจสอบคอรัปชั่น “องค์กรความโปร่งใสสากล” (Transparency International:TI) สำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนี เผยแพร่รายงาน “ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชั่นโลก 2016” ใช้ข้อมูลจากหลายสถาบันรวมทั้งธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาแห่งแอฟริกาเป็นเกณฑ์วัดจัดอัน ดับตามคะแนนที่ได้จาก 0-100 ซึ่งหมายถึงมีปัญหาคอรัปชั่นร้ายแรงจนถึงมีคอรัปชั่นน้อย โดยมีนิวซีแลนด์รั้งอันดับ 1 ได้ 90 คะแนน ส่วนอันดับ 2-3 คือฟินแลนด์และสวีเดน ได้ 89 และ 88 คะแนนตามลำดับ ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจ สิงคโปร์ติดอันดับ 7 (84คะแนน) สหรัฐฯ ติดอันดับ 18 และญี่ปุ่นติดที่ 20
ด้านเยอรมนี ที่ตั้งขององค์กรทีไอ ติดอันดับ 10 มี 81 คะแนนร่วมกับอีก 2 ประเทศคือลักเซมเบิร์กและสหราชอาณาจักร ขณะที่ 3 ประเทศยักษ์ในกลุ่มเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ บราซิล จีนและอินเดีย ติดอันดับ 79 ร่วมกันมี 40 คะแนน ส่วนรัสเซีย ติดอันดับ 131 มี 29 คะแนน
ขณะที่ไทยซึ่งปีที่แล้วติดอันดับ 76 มาปีนี้หล่นมาอยู่ที่ 101 ได้ 35 คะแนน เพราะมีปัญหาคอรัปชั่นและความวุ่นวายทางการเมืองรวมทั้งการควบคุมด้านสิทธิต่างๆของรัฐบาลทหาร ส่วน 3 ประเทศที่ติดอันดับรั้งท้ายของการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอรัปชั่นโลก 2016 ก็คือโซมาเลียติดอันดับท้ายตาราง ที่ 176 มีแค่ 10 คะแนน ซูดานใต้ติดอันดับ 175 มี 11 คะแนนและเกาหลีเหนือ ติดอันดับ 174 มี 12 คะแนน
องค์กรทีไอ ระบุด้วยว่าระดับความรุนแรงหรือเข้มข้นของการคอรัปชั่นมีความเชื่อมโยงกับนโยบายประชานิยมและยังส่งผลให้นักการเมืองที่ชูนโยบายแนวประชานิยมผงาดขึ้นมาได้รับการสนับสนุนและมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน อย่างเช่น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เห็นได้จากการที่เขาพูดถึงแผนยกเลิกกฎหมายต่อต้านการคอรัปชั่นที่สำคัญและเพิกเฉยต่อเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์ด้านการคอรัปชั่นเลวร้ายแรง ไม่ใช่มุ่งควบคุมการทุจริตคอรัปชั่นตามที่ควรจะเป็น ทั้งนี้รายงานของทีไอถูกเผยแพร่ 2 วัน หลังเครือข่ายทนายแห่งรัฐธรรมนูญและจริยธรรม เพิ่งยื่นฟ้องกล่าวหานายทรัมป์มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการทำธุรกิจในต่างแดนและรับเงินรัฐบาลต่างชาติซึ่งนายทรัมป์ได้ปฏิเสธเรื่องนี้แล้ว.