สหรัฐฯปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วในรอบทศวรรษโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดมีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.75% เป็น 1%
ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์กันว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังจากมีรายงานตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นค่าจ้างที่ปรับขึ้น เงินเฟ้อไต่ระดับขึ้น และอัตราการว่างงานที่ลดต่ำลงเหลือ 4.7% คาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้
โดยแจเนท เยลเลน ประธานเฟดกล่าวว่า คณะกรรมการพิจารณาที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสมเพื่อขับเคลื่อนให้กระบวนการทางเศรษฐกิจเป็นไปด้วยดี
“ หลังจากการปรับดอกเบี้ยขึ้น นโยบายทางการเงินยังคงผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนตลาดงานให้แข็งแกร่งและคงเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2%” เธอกล่าวนับเป็นครั้งที่ 2 ที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบ 3 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดัชนีหุ้นที่วอลล์สตรีทพุ่งขึ้นขานรับคำประกาศนี้ทันที โดยดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้น 112 จุดไปอยู่ที่ 20,950 จุดในการซื้อขายช่วงบ่ายค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลงมา 0.9% ต่อเงินยูโรและมากกว่า 1% ต่อเงินปอนด์
ทั้งนี้ แนวโน้มของเฟดต่อตัวเลขเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 2.1% ในปีนี้และปีหน้า ก่อนที่จะลดลงไปอยู่ที่ 1.9% ในปี 2562 ซึ่งตัวเลขคาดการณ์นี้ยังคงห่างไกลจากเป้า 4% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เคยกล่าวว่า เขาสามารถทำให้ถึงเป้าได้ด้วยนโยบายเศรษฐกิจของเขา
อย่างไรก็ตาม น.ส.เยลเลนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เธอไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็นของความขัดแย้งระหว่างเฟดกับการบริหารประเทศของผู้นำสหรัฐฯ
คัลลี ซัมรา กรรมการผู้จัดการของ Charles Schwab กล่าวว่า มีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกมากเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในอนาคต “ ถ้าทำเนียบขาวมีแผนจะผ่อนคลายกฎระเบียบลง ลดภาษีและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีมากขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโต และเงินเฟ้ออาจแข็งแกร่งเกินคาดการณ์และนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก” เขากล่าว
“ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีภาษีพรมแดน ภาษีการค้าและนโยบายการเงินที่เข้มงวด อาจส่งผลกระทบทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอตัวลง” เขากล่าว.