ความมั่นคง เฝ้าระวัง “คาร์บอมบ์กทม.”
ระทึกกันอีกรอบเมื่อ “พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ระบุว่า ได้รับรายงานข่าวแจ้งเตือนจากหน่วยงานความมั่นคงว่าจะเกิดเหตุ “คาร์บอมบ์” ในประเทศไทย 3 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ช่วงระหว่างวันที่ 25-30ต.ค.
พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันว่า การข่าวลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ได้กำชับไปยังหน่วยระดับพื้นที่ให้กวดขัน จับกุม ตรวจค้นรถต้องสงสัย ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของกลุ่มคนร้าย และการปิดล้อมตรวจค้น รวมถึงเพิ่มความเข้มตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ สถานทูต จุดล่อแหลม และสถานที่เชิงสัญลักษณ์
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงเดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่ตรงกับวันเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะวันสถาปนากองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น และวันสถาปนาธรรมนูญ พลูโลใหม่ จึงมักมีการก่อเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ โดยใช้วันเชิงสัญลักษณ์เป็นตัวตั้ง
ทั้งนี้มีการวิเคราะห์กันว่า จุดเสี่ยงที่กลุ่มคนร้ายเตรียมก่อเหตุคาร์บอมบ์ หลักๆ คือ ห้างสรรพสินค้า ลานจอดรถ พื้นที่ที่มีประชาชนพลุกพล่าน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ
ข่าวนี้เล่นเอาตลาดหุ้นร่วงขานรับ และคนไทยทั้งประเทศตื่นตระหนก ตกใจกันใหญ่โต เพราะประเทศไทยเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ระเบิดป่วนในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เมื่อช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจสำคัญ และเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ร้อนถึง“พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะดูแลด้านความมั่นคง ต้องออกมาชี้แจงประชาชนไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก
“เป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายความมั่นคงออกมาเตือน เพราะช่วงนี้มีงานเทศกาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย และไม่ได้เจาะจงเรื่องคาร์บอมในพื้นที่กรุงเทพฯ เชื่อว่าจะไม่เกิดสถานการณ์ความรุนแรง รวมถึงมั่นใจว่าจะเกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพราะได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานไปแล้ว”
ขณะเดียวกันจากการแจ้งเตือนของหน่วยงานความมั่นคง ทำให้หลายหน่วยงานต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ “รักษาราชการแทนรองปลัดกทม.” รัชนีวรรณ อัศวธิตานนท์ เด้งรับนโยบาย เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆทั้งด้านบุคลากร การจราจรและการขนส่ง รวมถึงส่วนราชการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการอย่างเข้มงวด
สอดคล้องกับการทำงานของหน่วยอินทราชที่สนธิกำลังกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 191 บุกเข้าตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ในซอยรามคำแหง 53 จับกุมผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนประมาณ 10 ราย แม้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่มีมูลเหตุจูงใจ เพราะผู้ที่ถูกออกหมายจับทั้งหมดมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับการขยายพื้นที่ก่อเหตุออกมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่เป็นลักษณะออกมาในแบบ“รับจ้างก่อเหตุ” เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองเท่านั้น
ต้องบอกว่าคราวนี้การข่าวจมูกไวและเจ้าหน้าที่เตรียมกันเป็นอย่างดี เมื่อมีการรับรู้ถึงการเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นถึงถึงความตื่นตัว ในการปรับปรุงงานงานด้านข่าวกรองเชื่อมโยงกับข้อมูลของประเทศมากยิ่งขึ้น
ตามนโยบาย “บิ๊กป้อม” เคยระบุเมื่อครั้งประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ผ่านมา ให้สังคยานาหน่วยงานข่าวกรองภายใมประเทศให้มีประสิทธิภาพ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การรีบเร่งเดินหน้าชนกับกลุ่มก่อความไม่สงบครั้งนี้ มองได้ว่ารัฐบาลได้บทเรียนจากการก่อเหตุเมื่อครั้งที่ผ่านมา ว่าสร้างแรงสะเทือน “รัฐบาลคสช.” กระทบความเชื่อมั่นของประเทศอย่างมหาศาล หากไม่รีบหาทางป้องกัน และตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
อีกนัยการแจ้งเตือนครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลออกมาแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังภัย ไม่ประมาท แม้จะอยู่ในเขตเมืองหลวง ก็ยังมีภัยคุกคามจากากรลอบวางระเบิด
ดังนั้น หากยังปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำซากความเชื่อมั่นของรัฐบาลย่อมลดน้อย ถอยลง รวมถึงผลงานด้านความมั่นคงที่ชูนโยบายกันมานานนับปี ล้มไม่เป็นท่า ยังไม่นับรวมเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ต้องพังพินาศแน่นอน.