จีนประกาศลงโทษขโมยทรัพย์สินทางปัญญา
จีนประกาศบทลงโทษที่จะคุมเข้มการเข้าถึงของบริษัทในการกู้ยืมและการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐที่เกี่ยวกับการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของความขัดแย้งทางการค้าของจีนที่มีกับสหรัฐฯ
ข่าวมาตรการลงโทษมีขึ้นไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนสัญญาจะแก้ไข “ความกังวลที่มีเหตุผล” ของสหรัฐฯเกี่ยวกับการปฏิบัติด้านทรัพย์สินทางปัญญาในแถลงการณ์หลังการประชุมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯในการประชุมกลุ่มประเทศ G20 เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ในอาร์เจนตินา
ทำเนียบขาวแถลงว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีกับสินค้าของอีกฝ่ายอย่างน้อย 90 วัน โดยจีนเจรจาที่จะแก้ไขคำตำหนิอย่างเจาะจงของสหรัฐฯ
โดยจีนได้กำหนด 38 บทลงโทษที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนนี้มีการเผยแพร่เอกสารจากคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ และลงนามโดยหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง รวมถึงธนาคารกลางและศาลสูงสุด
“ ผมคิดว่า บทลงโทษจะส่งผลให้มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาลดลง ” ดร.สก็อต เคนเนดี ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตันให้ความเห็น
“ เราอยู่ในสถานการณ์ร่วมกับจีนมาหลายครั้งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ความสนใจของหลายบริษัทที่มีต่อการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และแม้ว่าจะมีความสนใจมาก แต่การละเมิดก็เพิ่มขึ้นมาก”
ในเดือนพ.ย. ทางการจีนปฏิเสธคำกล่าวหาจากสหรัฐฯว่ายังคงมีการสนับสนุนจากรัฐบาลในการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นเพียงคำบอกเล่าและไม่ใช่เรื่องจริง
รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มปรับขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนในเดือนก.ค.หลังมีการสอบสวนในมาตรา 301 โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯกล่าวหาจีนว่านโยบายการถ่ายทอดทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์กับบริษัทอเมริกัน
จากข้อมูลล่าสุดที่มีการเผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า จีนยังคงมีนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เป็นธรรม อย่างต่อเนื่อง และกล่าวหาว่าจีนยังคงมีแคมเปญโจมตีทางไซเบอร์ที่รัฐสนับสนุนอย่างต่อเนื่องกับบริษัทอเมริกันที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
จีนระบุว่า การละเมิดจะทำให้ถูกแบนจากการออกพันธบัตร หรือเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ และการมีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล
ผู้ละเมิดจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล การค้าต่างประเทศ การจดทะเบียนบริษัท การประมูลที่ดิน หรือการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ ผู้ละเมิดจะถูกขึ้นบัญชีความผิด และสถาบันการเงินจะมีข้อมูลอ้างอิงเมื่อมีการขอสินเชื่อ หรือการเข้าถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยชื่อผู้กระทำความผิดจะถูกโพสต์อยู่บนเว็บไซต์ของรัฐบาล.