จีดีพีไทยพุ่งไตรมาส 2 โต 3.5%
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 โต 3.5% มากกว่าไตรมาสแรกที่เติบโต 3.2% สะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้คาดว่า ตลอดทั้งปีนี้ จีดีพีไทยมีโอกาสโต 3.3-3.5%
“เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 สามารถเติบโตได้ดีกว่าไตรมาสแรกเพราะมี 5 ปัจจัยหลักที่สนับสนุน ประกอบด้วย 1.การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐอยู่ในเกณฑ์สูง 2.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 3.จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง 4.ราคาน้ำมันยังทรงตัว และ5.ภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น” นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงข่าวเมื่อเช้าวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและค่าเงินบาทผันผวน
“ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัว 3.5% เร่งขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 3.2% รวมครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.4% และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วจะขยายตัวจากไตรมาสแรกราว 0.8% ขณะที่ครึ่งแรกของปี 59 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.4%”
นายปรเมธี กล่าวว่า จีดีพีปีนี้ น่าเติบโตได้ระหว่าง 3.0-3.5% โดยค่าเฉลี่ยตรงกลางอยู่ที่ 3.3% แต่มีความเป็นไปได้มากที่จะมีโอกาสขยายตัวได้ในกรอบบนที่ 3.3-3.5% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว และจากการประเมินผลกระทบเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังพบว่า อยู่ในวงที่จำกัด จากที่ก่อนหน้านี้เคยกังวลว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนที่เกิดจากเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากกรณีที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งปัจจุบันยังมีผลกระทบไม่มากนักต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้
ดังนั้นผลกระทบจากกรณี Brexit จึงยังไม่น่าจะได้เห็นในช่วงเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ไม่ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีโลกลงมากนัก โดยล่าสุดปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.1% จากเดิมที่มองไว้ 3.2% ซึ่งถือว่าปรับลดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเติบโตได้ราว 3.5% ซึ่งถือว่าดีขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 3.4%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น นายปรเมธี กล่าวว่า มาจากการเร่งขึ้นของเม็ดเงินภาครัฐ และแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบเหลื่อมปี และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีก 1.64 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีความคืบหน้าจากการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่มีแนวโน้มเร่วตัวขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงเดือน ก.ย.58-เม.ย.59 จำนวน 11 มาตรการ วงเงินรวม 670,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอีกประมาณ 100,000 ล้านบาท
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน สหรัฐฯ และอาเซียน ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้คาดว่าในปี 59 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมที่ 33.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 29.9 ล้านคนในปี 58 หรือเพิ่มขึ้น 12.1% สร้างรายได้ 1.7 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.9%
ด้านราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าปีนี้ยังอยู่ในช่วง 35-45 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอำนาจซื้อที่แท้จริงของภาคครัวเรือน และลดต้นทุนภาคธุรกิจ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เอื้ออำนวยต่อการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
การปรับตัวดีขึ้นของรายได้ครัวเรือนภาคเกษตร และราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่าการผลิตภาคการเกษตรจะเริ่มกลับมาขยายตัวในไตรมาส 3/59 และเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภัยแล้งที่ยาวนานและปัญหาโรค EMS ในกุ้ง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของประเทศผู้ส่งออกสำคัญ
ขณะที่ยังมี 2 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ 1.เศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ จะขยายตัว 3.1% ลดลงจากประมาณการณ์เดิมที่คาดไว้ที่ 3.2% ในครั้งก่อน และการฟื้นตัวอย่างล่าช้าของเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น และยูโรโซนในครึ่งปีแรก รวมทั้งผลกระทบเพิ่มเติมจากกรณี Brexit และ 2.ความผันผวนท่าม กลางแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี 58 และช่วงครึ่งแรกของปี 59 โดยการส่งออกในรูปของเงินบาทชะลอตัว ส่งผลกระทบกับรายได้และสภาพคล่องในรูปเงินบาทของผู้ประกอบการ
สำหรับแนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 59 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ 6 ประเด็น ประกอบด้วย
1.การเบิกจ่ายและขับเคลื่อนโครงการของภาครัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ 2.การดำเนินการตามมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้วให้สัมฤทธิ์ผล 3.การฟื้นฟูเกษตรกรและการเตรียมเกษตรกรให้มีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก 2559/2560 โดยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกฤดูการใหม่ การดูแลคุณภาพและราคาปัจจัยการผลิต การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การประกันภัยพืชผล และการเตรียมมาตรการและจัดหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว
4.การสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยการผลักดันและส่งเสริมให้ใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้วอย่างเต็มศักยภาพ และเร่งรัดโครงการลงทุนที่ได้ยื่นขอรับสิทธประโยชน์การลงทุนให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญๆ 5.การดูแลและขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยสนับสนุนผู้ประกอบการในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาท และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการส่งออกของไทยปี 59 โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าชายแดนเชื่อมโยงประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา,เวียดนาม) การแสวงหาตลาดการค้าบริการในกลุ่มบริการที่ประเทศไทยมีความเป็นเลิศ และลดความล่าช้าและข้อจำกัดในกระบวนการทำงานและระเบียบปฏิบัติของภาครัฐ และ 6.การสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน.