SCGยกระดับมาตรฐานก่อสร้างไทย ดันมูลค่าทะลุ1.44ล้านลบ.
“เอสซีจี” เดินเกมยกระดับกลุ่มธุรกิจซีเมนต์ ดันมาตรฐานวงการก่อสร้างไทยเติบโต ชี้ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดไม่น้อย หากจะยกระดับสู่เวทีโลก จำเป็นต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้มแข็งควบคู่กันไป
นายชนะ ภูมี Vice President – Cement and Construction Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีมีการปรับตัวเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันให้รับกับความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ มาตลอด แต่การขับเคลื่อนธุรกิจจะต้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงตลาดธุรกิจก่อสร้างที่มีมูลค่าสูงราว 1.44 ล้านล้านบาท ซึ่งมาตรฐานของผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทัดเทียมระดับสากล เอสซีจีจึงวางเป้าหมายยกระดับวงการก่อสร้างไทยไปสู่การเป็นสังคมรุ่งเรือง ที่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายตลอดห่วงโซ่คุณค่าได้รับประโยชน์และเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยเอสซีจี มีการยกระดับกระบวนการทำงานของกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และโซลูชั่นการก่อสร้าง ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งทั้งในท้องถิ่นถึงระดับประเทศ ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่
1.กลยุทธ์การใช้ Construction Solution Technology ตอบโจทย์ความต้องการและการแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างครบวงจร มีการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆในการก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ “CPAC Construction Solution” ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
2. กลยุทธ์ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด ลดปัญหาเรื่องการเกิดของเสีย (Waste) ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการสำรองปริมาณวัสดุก่อสร้างเกินความจำเป็น พบว่า ของเสียที่เกิดขึ้นในอุตฯก่อสร้างของไทยอยู่ในอัตราประมาณ 20 % หรือมีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท จากมูลค่าตลาดการก่อสร้างรวม 1.44 ล้านล้านบาท ซึ่งการนำเทคโนโลยี BIM โมเดล 3 มิติ มาใช้ในการออกแบบก่อสร้างอาคารตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้สามารถวางแผนสั่งวัสดุต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
3.กลยุทธ์การตั้ง “CPAC Solution Center” เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงคนในวงการก่อสร้างในพื้นที่ให้สามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้ วิธีบริหารงานก่อสร้าง รวมถึงหาโซลูชั่นต่างๆ ในพื้นที่ได้ ซึ่งซีแพคจะช่วยเชื่อมโยงนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีจากผู้เกี่ยวข้องมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ในงานก่อสร้างให้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ซึ่ง CPAC Solution Center แห่งแรกเปิดให้บริการที่จังหวัดเชียงใหม่ และตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2562 จะเปิดให้ครบ 9 สาขา ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ ,ขอนแก่น ,พิษณุโลก ,ภูเก็ต ,สุราษฎร์ธานี ,อุบลราชธานี ,พัทยา ,นนทบุรี และนครปฐม ก่อนขยายเป็น 20 สาขาทั่วประเทศ ในปี 2563 โดยหวังขยายเครือข่ายช่างและผู้รับเหมาท้องถิ่นจาก 2,000 คน ให้เพิ่มจำนวนและครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น เพื่อเกิดประโยชน์กับวงการก่อสร้างไทยอย่างยั่งยืนต่อไป.