ส.อ.ท.ยกระดับอุตสาหกรรมไม้ไทย สู่มาตรฐาน PEFC
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดตัวระบบการรับรองการจัดการป่าไม้ของไทย (TFCS) อย่างเป็นทางการ นับเป็นผู้ให้บริการด้านการออกใบรับรองการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล PEFC (The Programme for the Endorsement of Forest Certification) ยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าสู่มาตรฐานการรับรองระดับโลก ช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกกว่าแสนล้านบาท พร้อมให้บริการออกใบรับรองตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำนักงานการรับรองไม้เศรษฐกิจไทย (Thailand Forest Certification Council: TFCC) สถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร (สอก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกของ PEFC (The Programme for the Endorsement of Forest Certification) ในฐานะหน่วยปกครองการรับรองมาตรฐานด้านป่าไม้แห่งชาติ (National Governing Body – NGB)
และในเดือนพฤศจิกายน 2559 สามารถผลักดันระบบการรับรองไม้เศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล และสนับสนุนการปลูกไม้เศรษฐกิจที่มีการจัดการอย่างยั่งยืนและแหล่งที่มาถูกต้องตามกฎหมาย โดย TFCC ได้นำมาตรฐาน มอก. ที่ประกาศโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเทียบเคียงกับมาตรฐานของ PEFC และได้รับการเทียบเคียงมาตรฐานอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 จากนี้ไปการดำเนินการจัดการสวนป่าของไทยจะเป็นที่ยอมรับตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมธุรกิจไม้และเข้าสู่ตลาดโลกได้
นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการการรับรองไม้เศรษฐกิจไทย สถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร (สอก.) กล่าวว่า ระบบการรับรองการจัดการป่าไม้ของไทย (TFCS) สามารถให้การรับรองที่เทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล อันประกอบไปด้วย มาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน FM : Forest Management Standard (มอก. 14061) จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเกษตรกร หรือผู้ปลูกสวนป่าไม้เศรษฐกิจ และมาตรฐานห่วงโซ่การควบคุมผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ (มอก. 2861)
รวมถึงการรับรอง PEFC Chain of Custody (PEFC ST 2002) จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจไม้แปรรูป, ไม้ยางพารา, ไม้เพื่อพลังงาน, ไม้ประกอบ, เฟอร์นิเจอร์, ของเล่นเด็ก และไม้เพื่อการขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งการรับรองทั้ง 2 มาตรฐานนี้ จะช่วยยืนยันได้ว่าไม้ต้นทางมาจากแหล่งใด เป็นไม้ที่ถูกต้อง ไม่ได้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้าต่างประเทศที่ต้องการมาตรฐานการรับรองผลิตภัณฑ์ เปรียบเสมือนใบเบิกทางให้สามารถข้ามกำแพงการค้าไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ตลอดจนยุโรปได้ อันจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าไม้ได้กว่าแสนล้านบาท และนี่คือสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับประเทศไทยที่ต้องมีมาตรฐานการรับรอง เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไม้ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม