อุตตม ชู Factory 4.0 เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมไทย
รมว.อุตสาหกรรม ชู ยุทธศาสตร์ Factory 4.0 พัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างเป็นระบบ สร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ระหว่างภาคการผลิตกับชุมชน
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยอย่างเป็นระบบ ตามแผนยุทธศาสตร์ “Factory 4.0” สร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ภายใต้แนวทางเกื้อหนุนอย่างจริงจังระหว่างภาคการผลิตกับชุมชน ให้ความสำคัญกับการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง และพัฒนาคนในโรงงานและในชุมชนรอบข้างให้อยู่ดีกินดีขึ้น
นายอุตตมฯ กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์ Factory 4.0” มองทั้ง 4 มิติเชื่อมโยงกันเป็นระบบ โดยภาคการผลิตคือผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่กว่า 1.5 แสนรายทั่วประเทศจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รัฐจะให้กับสนับสนุนส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีประสิทธิภาพการผลิตมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนและความยุ่งยากในการใช้บริการกับภาครัฐลงให้มากที่สุดดังเช่นนโยบายการยกเลิกการต่ออายุใบ รง.4 แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการโรงงานต้องใส่ใจและดูแลองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจฐานรากอีก 3 ส่วนคือ
- สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต้องมีการดูแลรักษาและปกป้องอย่างจริงจัง โดยมิติใหม่ของโรงงานจะเป็น “ผู้สร้างไม่ใช่ผู้ทำลาย”
- การพัฒนาชุมชนให้ให้เข้มแข็งมี “ทุนสะสม” ที่ชุมชนจะใช้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเขาได้เอง และ 3. การพัฒนาคนในโรงงานและในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างงานและอาชีพเสริมที่เชื่อมโยงหรือจ้างช่วงจากโรงงาน โดยเฉพาะผู้สูงวัยในภาคการผลิตที่จะกลับสู่ชุมชน คนเหล่านี้ต้องอยู่ได้โดย “ไม่เป็นภาระลูกหลาน” ซึ่งรัฐและเอกชนจะร่วมมือกันดูแล
“ปัจจัยสำเร็จของการช่วยยกระดับชุมชน คือการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโรงงาน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ให้ดีขึ้น เพื่อให้ธุรกิจเกิดความเข้มแข็งมีแรงขับเคลื่อน เสมือนหัวรถจักรที่จะช่วยดึงภาคชุมชนและสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้เข้มแข็งเช่นกัน ภาคเอกชนเป็นกลไกในการช่วยเหลือชุมชน ส่วนภาครัฐเป็นผู้หนุนเสริมเชิงนโยบาย”
โดยในแผนยุทธศาสตร์นี้ผลพลอยได้สำคัญคือการจัดทำฐานข้อมูลสำคัญที่ยังไม่มีการทำมาก่อน นั่นคือ Big Data ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมกับกระบวนการทำการรับรองตนเองของผู้ประกอบการ “Self-Declaration” ซึ่งฐานข้อมูลนี้จะมีความสำคัญมากต่อการกำหนดนโยบายพัฒนาภาคการผลิตของไทยทั้งระบบของรัฐบาลในอนาคต
ด้านนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้วาง Road Mapในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ และที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ได้แก่ คณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ คณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการประกอบการอุตสาหกรรม คณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ คณะทำงานเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และคณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งคณะทำงานนี้มีการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลไกร่วมสำคัญระหว่างกระทรวงฯ และสภาอุตสาหกรรมฯ ในการขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 4 ด้าน ทั้งในด้านการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ ชุมชน การพัฒนาแรงงานภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ สู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) กล่าวว่า สอท.พร้อมมีส่วนร่วมและให้การสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในทุกด้าน ทั้งในส่วน ของการใช้ระบบกำกับดูแลโรงงานรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ จะผลักดันให้สมาชิกที่มีศักยภาพช่วยเหลือการพัฒนาวิสาหกิจ SMEs และชุมชน ผ่านกลไก Big Brother ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนเครื่องจักรต้นแบบ การยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้คำปรึกษา และการจับคู่ธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมทั้งส่งเสริมให้สมาชิกนำแนวคิด Circular Economy ไปขับเคลื่อนและขยายผลตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกระบวนการทางธุรกิจ และในส่วนของการพัฒนาแรงงานในภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมฯ จะสนับสนุนการพัฒนาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมผ่านกลไก Big Brother โดยครอบคลุมทั้งการพัฒนากำลังคนในโรงงานผ่านโครงการทวิภาคี และการส่งเสริมการจ้างงานผู้เกษียณอายุ และการพัฒนาคนในชุมชน เช่น การสนับสนุนพื้นที่ขายสินค้าภายในโรงงานสำหรับคนในชุมชน โครงการเปลี่ยนประเทศไทยด้วยการศึกษาในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น