“ฟอร์ด”ทุ่มหมื่นล้านผลิต“เรนเจอร์”
“ฟอร์ด” ตั้งไลน์ผลิตรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปทั่วโลก คาดเริ่มผลิตได้ต.ค.นี้ พร้อมสอบถามความคืบหน้าเจรจา RCEP และการเข้าร่วม TPP หวังช่วยเปิดทางส่งออกรถยนต์อีกทาง
“ฟอร์ดได้ยืนยันที่จะเพิ่มการลงทุนในไทย เพื่อผลิตรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ มีกำลังการผลิต 40,000 คัน ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ โดยจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 คน และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ประมาณเดือนต.ค.2559” นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนาย Ziad S. Ojakli รองประธานอาวุโส ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และนาย Stephen E. Biegun รองประธานฝ่ายรัฐกิจระหว่างประเทศ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี สหรัฐฯ และคณะเข้าหารือ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา และกล่าวว่า
“ฟอร์ดได้ยืนยันว่ามีความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย และจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมั่นใจในนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งได้ให้คำมั่นกับฟอร์ดไปว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักลงทุนอย่างเต็มที่ เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของไทย และนายกรัฐมนตรี ก็ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมนี้ โดยได้มีการเชิญผู้บริหารค่ายรถยนต์ต่างๆ เข้ามาหารือโดยตรงไปแล้ว”
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์มีสัดส่วนในการส่งออกของไทยสูงถึง 12% ของยอดการส่งออกทั้ง หมด หรือมีมูลค่าประมาณ 25,608 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และล่าสุดรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้สอบความความคืบหน้าในการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่อาเซียนอยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะถือเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ และมีส่วนที่จะช่วยกระตุ้นการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังตลาด RCEP ได้ ซึ่งไทยได้แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
“ฟอร์ดยังได้สอบถามความคืบหน้ากรณีที่ไทยจะเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) โดยได้แจ้งไปว่าขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการศึกษาผลดีผลเสียให้รอบด้าน และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเชื่อมั่นว่าหลังจากได้ข้อสรุปแล้ว รัฐบาลก็จะตัดสินใจได้”
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ตนยังได้หารือกับนายมิเคล เหมนิธิ วินเธอร์ เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย และนายนิลส์ เอส. แอนเดอร์เสน ผู้บริหารเมอส์ก กรุ๊ป (Maersk) ซึ่งเป็นสายการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Maersk ได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านโลจิสติกส์กับไทย เพราะเห็นศักยภาพของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะการเข้าถึงตลาด CLMV และพร้อมที่จะร่วมมือในการถ่ายทอดความรู้และนำเสนอแนวทางในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์
นอกจากนี้ ทาง Maersk ยังได้แจ้งว่ามีแผนลงทุนสร้างท่าเรือใหม่ที่ไนจีเรียกับกาน่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทั้งสองประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ที่เป็นตลาดใหม่ที่ไทยให้ความสนใจในการขยายตลาด.