คปภ.ชงประกันภัยรถรางล้อยางนำเที่ยว
เลขาธิการ คปภ. ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยรถรางล้อยางนำเที่ยวฉบับแรกของไทย ประเดิมเมืองกรุงเก่าเป็นแห่งแรก มั่นใจทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่น
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
กล่าวถึงการจัดทำโครงการส่งเสริมและสนับสนุนให้รถรางล้อยางนำเที่ยวใน จ.อยุธยา เป็น “จังหวัดต้นแบบ” ในการจัดทำ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” ว่า การจัดทำโครงการ “ส่งเสริมและสนับสนุนให้รถรางล้อยางนำเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดต้นแบบในการจัดทำ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” ในครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานเครือข่ายที่เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความคุ้มครองนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการรถรางล้อยางนำเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
ก่อนหน้านี้ นายศุกร์วิบูล ปิ่นนิกร ปลัดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในฐานะ ผอ.ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ ได้หารือกับ สำนักงาน คปภ. จ.อยุธยา เพื่อหาแนวทางจัดทำประกันภัยให้กับรถรางล้อยางที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว บนถนนสาธารณะ ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จ.อยุธยา จึงหารือกับสำนักงานขนส่งจังหวัดอยุธยา กระทั่ง เห็นพ้องว่า รถรางล้อยางนำเที่ยว มีการใช้เครื่องยนต์ขนาด 2,400 ซี.ซี. และใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนยนต์ จึงมีลักษณะเป็นรถ ตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4 (9) ที่ ดังนั้น จึงสามารถจัดทำประกันภัยรถตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับและภาคสมัครใจได้
ประกอบกับ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่ได้กำหนดว่า รถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ได้แก่ รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร เป็นรถที่เจ้าของมีไว้ใช้ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือ พลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ
จากนั้น จึงได้ตรวจสอบข้อมูลรถรางล้อยางนำเที่ยว 14 คัน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ฯ พบว่า มีรถรางล้อยางนำเที่ยว 9 คัน ไม่มีหมายเลขตัวถัง จึงไม่สามารถจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ ทางสำนักงาน คปภ. จึงประสานงานและขอความอนุเคราะห์ ไปยังสำนักงานขนส่งจังหวัดฯ ในการจัดทำหมายเลขตัวถังรถรางล้อยางนำเที่ยวดังกล่าว เพื่อให้สามารถจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ จนประสบความสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน คปภ. จึงบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ใน จ.อยุธยา จัดทำโครงการดังกล่าว เพื่อให้เป็น “จังหวัดต้นแบบ” ในการจัดทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ในการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับสำหรับรถรางล้อยางนำเที่ยว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวของภาครัฐและสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของ จ.อยุธยา ในด้านการพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวและการบริการสู่มาตรฐานสากลแล้ว นอกจากนี้ ยังส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการรถรางล้อยางนำเที่ยวของ จ.อยุธยาอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรณรงค์ให้โครงการนี้เป็นโครงการต้นแบบการทำประกันภัย พ.ร.บ.สำหรับรถรางล้อยาง นำเที่ยวด้วยการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงให้กับนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร สำนักงาน คปภ. จึงให้การสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยในการจัดซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ ให้กับรถรางล้อยางนำเที่ยวทั้ง 14 คัน โดยได้จัดให้มีพิธีมอบกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ ห้องไทร ชั้น 2 ร.ร.คลาสสิค คามิโอ จ.อยุธยา โดย เลขาธิการ คปภ. ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัย ให้กับ นายนิวัฒน์ ภาตะนันท์ รอง ผจว.อยุธยา ซึ่งได้กล่าวขอบคุณ สำนักงาน คปภ. ที่สนับสนุนการทำประกันภัยรถภาคบังคับในครั้งนี้
จากนั้น เลขาธิการ คปภ. รอง ผจว.อยุธยา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. และหัวหน้าส่วนราชการ จ.อยุธยา ได้ทดลองใช้บริการนั่งรถรางล้อยางเพื่อชมโบราณสถานรอบกรุงเก่าอันสวยงามของจังหวัดฯอีกด้วย
สำหรับกรมธรรม์กรมธรรม์ประกันภัยรถรางล้อยางนำเที่ยวฉบับดังกล่าว ถือเป็นฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งมีผลความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.62 ถึง 1 ก.ค.63 โดยให้ความคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวที่โดยสารในรถรางล้อยางนำเที่ยวที่มีการทำประกันภัยรถภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ.ในกรณีที่นักท่องเที่ยวบาดเจ็บ จะได้รับค่ารักษาพยาบาล วงเงินคุ้มครองสูงสุด 80,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต วงเงินคุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท นอกจากนี้ ยังให้ความคุ้มครองการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นภายใน 7 วัน โดยไม่รอพิสูจน์ความรับผิดแก่ผู้ประสบภัย ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน คปภ. 1186
อนึ่ง จากสถิติด้านการท่องเที่ยวของไทยในปี 61 พบว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถึง 38.27 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 2.01 ล้านล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวชาวไทย 164.24 ล้านคน สร้างรายได้ 1,068.18 พันล้านบาท สำหรับแนวโน้มการท่องเที่ยวปี 62 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 41.1 ล้านคน (หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5) สร้างรายได้ 2.21 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ10) ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ปัจจุบันไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอับดับ 4 ของโลก ซึ่ง จ.อยุธยา เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากได้รับการยกย่องจากองค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประกาศให้ขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็น “เมืองมรดกโลก” เมื่อปี 34
โดยกิจกรรมอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจใช้บริการ ก็คือ การนั่งรถรางล้อยาง เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ภายในอุทยานที่อยู่ในเกาะเมือง (อ.พระนคร) หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของแต่ละอำเภอทั้ง 16 อำเภอ ด้วยการใช้รถรางล้อยางนำเที่ยวของจังหวัดฯ จึงไม่ได้อยู่ในสถานที่ปิดเหมือนรถรางของจังหวัดอื่น และอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุของรถรางล้อยางมากกว่าเพราะเป็นการใช้งานในถนนสาธารณะ.