สิงคโปร์ต้องปรับตัวคุ้นกับโลกอยู่ยากขึ้น
เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีนยังคงอยู่ สิงคโปร์ “ต้องยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง” และเตรียมพร้อมที่จะรับมืออย่างเหมาะสม นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงแห่งสิงคโปร์ระบุเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ในการแถลงข่าวกับสื่อในวันสุดท้ายของการประชุมที่อาร์เจนตินา นายกฯลีกล่าวว่า เขาหวังว่าการประชุมร่วมกันระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯจะ “ส่งผลในทางที่สร้างสรรค์ ” โดยผู้นำสิงคโปร์กล่าวว่า “ ไม่ได้แปลว่าปัญหาทั้งหมดจะแก้ไขได้ทั้งหมดภายในคืนนี้ แต่มีทิศทางที่สร้างสรรค์ชัดเจนขึ้น และหวังว่าจะมีขั้นตอนต่อไปที่พัฒนาขึ้น”
เมื่อถูกถามว่า เขาคิดว่าจะมีสงครามเย็นครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจเกิดขึ้นหรือไม่ นายกฯลีกล่าวว่าความตึงเครียดในปัจจุบันไม่สามารถ “เปรียบเทียบได้โดยตรง” กับสงครามเย็น ซึ่งเขากล่าวว่า เมื่อย้อนไปในเวลานั้น มันเป็นความขัดแย้งระหว่าง “สหภาพโซเวียตกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก”
เขาเสริมว่า “ แต่ผมคิดว่าอาจมีช่วงเวลาของความตึงเครียด ความขัดแย้ง และความยุ่งยากระหว่างสองประเทศ ซึ่งอาจขยายวงกว้างขึ้นและยากจะจัดการ และอาจใช้เวลานานกว่าจะจบลง ผมคิดว่าจึงมีความเป็นไปได้ หากมีความแตกต่างที่ไม่อาจรับมือได้ดีจากทั้งสองฝ่าย ”
นี่หมายความว่าสิงคโปร์จำเป็นต้องปรับตัวให้คุ้นกับ “ โลกที่ยากลำบากมากขึ้น” จากสภาวะความผันผวนมากขึ้น แต่มีเสถียรภาพน้อยลง
“ เราต้องยืนหยัดด้วยตัวเองให้มากขึ้น หมายความว่าคุณไม่สามารถแค่ล่องเรือไปและคาดหวังว่าทุกปี เราจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย อย่างมั่นคง และเศรษฐกิจจะเติบโตต่อเนื่อง ” นายกฯลีกล่าว
“ หมายความว่าคุณไม่อาจทำนายได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่จะเผชิญและสำหรับเราที่จะรับมือกับทุกเรื่อง ”
แต่ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น บรรดาผู้นำโลกในกรุงบัวโนแอเรสยังสามารถมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะออกแถลงการณ์ร่วมในช่วงสิ้นสุดการประชุมที่มีขึ้นเป็นเวลาสองวัน ขณะที่มีความกังวลในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และการค้า ผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ยืนยันถึงข้อผูกพันที่จะทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงระเบียบพื้นฐานของความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ นายกฯลีชี้ว่า นี่เป็นผลลัพธ์ในเชิงบวก โดยเฉพาะหลังการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ซึ่งบรรดาผู้นำไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้
“ โดยพื้นฐานแล้ว หลายประเทศไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก เรารู้สถานะของกันและกันดี เป็นความสุภาพที่เราแสดงออก แต่ไม่มีการเจรจาในแง่ของการเปลี่ยนแปลงสถานะ เราค่อยๆหลอมรวมกันทีละน้อย มองประเด็น่ร่วมกันและดูว่าเราจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร ” นายกฯลีกล่าว
“ การเจรจาไม่ใช่แค่นำสถานะมารวมกัน แต่การเจรจาเป็นแค่การตกลงในรูปแบบของคำพูดที่ไม่ทำให้ใครไม่พอใจ และผมคิดว่ามีคุณค่าในเรื่องนี้ เพราะคำพูดยากๆทำให้ยิ่งยากขึ้นสำหรับหลายประเทศที่จะมาร่วมกันและประนีประนอมในความแตกต่าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยดี ”
ในแถลงการณ์ร่วม ผู้นำประเทศ G20 ยังได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปองค์การการค้าโลก โดยนายกฯลีกล่าวว่า ไม่มีความข้องใจเลยว่ากฎระเบียบควรจะต้องถูกแก้ไข แม้การเจรจาข้อตกลงที่เป็นธรรมสำหรับทุกคนจะเป็นเรื่องยากก็ตาม.