วิกฤตเหล้าเถื่อนในอินโดฯ ตาย 90
เกิดวิกฤตสุราเถื่อนครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 รายในอินโดนีเซีย ทางการอินโดนีเซียรายงานเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และทำให้ต้องมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในบางพื้นที่
เจ้าหน้าที่ตำรวจออกโรงเตือนว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากมีการบุกเข้าจู่โจมตรวจค้นหาผู้กระทำความผิดในหลายเมือง โดยสามารถจับกุมผู้ขายเหล้าเถื่อนที่ผลิตกันเองที่บ้าน และมีส่วนผสมที่เป็นพิษต่อผู้ดื่ม
ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสายกลาง และมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายเมืองใหญ่ แต่ภาษีที่สูงทำให้สุรามีราคาแพง ส่งผลให้แรงงานรายได้น้อยหันไปหาของราคาถูก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผลิตเองตามบ้านที่เป็นอันตราย
ในปี 2559 มีรายงานผู้เสียชีวิต 36 รายในชวาตอนกลางหลังจากดื่มสุราที่ผลิตเองในท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ทางการรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 รายในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาในกรุงจาการ์ตา จังหวัดชวาตะวันตก และปาปัวตะวันออก ขณะที่นับสิบคนมีอาการสาหัสต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการดื่มสุราเถื่อน
และในวันเดียวกันนั้น มีผู้ถูกจับกุมตัวได้อีกอย่างน้อย 9 ราย แต่ทางการยังคงตามหาผู้จัดจำหน่ายสุราเถื่อนรายใหญ่ ซึ่งมักจะลักลอบขายกันโดยคนขายตามถนน ซึ่งบางครั้งผลิตเองจากส่วนผสมที่เป็นพิษ
เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ผู้ต้องสงสัยในคดีหนึ่งยอมรับว่า ในสุราที่ผลิตในบ้านของเขานั้นมีส่วนผสมของยากันยุง แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ และยาแก้ไอรวมอยู่ด้วย
ในอีกคดีหนึ่ง ผู้ขายที่ถูกจับกุมกล่าวว่า เขาผลิตสุราเถื่อนโดยผสมแอลกอฮอล์บริสุทธิ์กับเครื่องดื่มโคคา-โคล่า และเครื่องดื่มชูกำลัง
จำนวนผู้เสียชีวิตที่มากจนน่าตกใจทำให้บันดุง เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงจาการ์ตาและบริเวณพื้นที่โดยรอบมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 10 เม.ย.
“ นี่เป็นเหมือนการปลุกให้ตื่น สำหรับเราทุกคน ” Setyo Wasisto โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงาน
ในปี 2558 อินโดนีเซียห้ามไม่ให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่และร้านเล็กๆ นอกจุดท่องเที่ยวช่วงวันหยุดของบาหลี ถึงแม้จะมีจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต บาร์และโรงแรมส่วนใหญ่ในประเทศ
“ เมื่อมีการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านสะดวกซื้อ คนขายสุราเถื่อนใต้ดินจึงเห็นโอกาสที่จะขายเพื่อรองรับความต้องการที่มีมากขึ้น ” Devie Rahmawati อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อ AFP
“ กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงไม่ได้รับผลกระทบ แต่คนที่มีรายได้น้อยกำลังมองหาทางเลือกอื่น ”