ไทยพาณิชย์ คาด ปีหน้าเงินบาทอ่อนค่า
SCB FM มองเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีกเล็กน้อยในระยะสั้นและคาดว่าจะกลับมาอ่อนค่าได้ในปีหน้า
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) ชี้เงินบาทเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าอีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในเดือน ธ.ค. ที่พบว่ามักแข็งค่าขึ้นราว 0.8%MOM ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น หนุนให้บาทแข็งค่าตามได้ โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ที่ราว 31.70-32.20 สำหรับในปี 2026 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนด์การลงทุนด้าน AI ที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้า และ 3) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง จึงมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2026 ที่ 33.00-34.00ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย มองว่า Yield curve มีแนวโน้มปรับชันขึ้น (Bear steepen) เพราะ Yields ระยะสั้นจะปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ กนง. ขณะที่ Yields ระยะยาวจะเผชิญแรงกดดันด้านสูงมากกว่าจากอุปสงค์พันธบัตรที่ลดลง และอุปทานที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่าเทรนด์เศรษฐกิจและตลาดการเงินในปีหน้า 3 เทรนด์หลักประกอบด้วย 1) การลงทุนด้าน AI ที่คาดว่าจะไปต่อได้ จะช่วยหนุนสินทรัพย์สหรัฐฯ ให้ปรับสูงขึ้นต่อได้ 2) นโยบายการเงินโลกจะยังแตกต่างกัน แต่ตลาดได้ Price-in ไปมากแล้ว ทำให้ผลต่อตลาดเงินอาจไม่มากนัก และ 3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปีหน้า ทำให้ กนง. จะลดดอกเบี้ยต่อได้ และเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าได้
นายแพททริกกล่าวเสริมว่า การลงทุนด้าน AI ในสหรัฐฯอาจสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า หรือมากกว่า 10% ของ GDP ของสหรัฐฯ ประกอบนโยบายภาครัฐที่คาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมากขึ้นในปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และสินทรัพย์สหรัฐฯ ได้ โดยอาจยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ในภาค AI เนื่องจาก 1) คาดว่า Capital expenditure จะโตต่อได้ แม้จะชะลอลงจากปีก่อน ขณะที่ยอดการถือครองเงินสดของบริษัท Tech ขนาดใหญ่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนว่าการลงทุนใน AI ยังมาจากสภาพคล่องในบริษัท ไม่ได้มาจากการกู้ยืม ซึ่งต่างจากช่วงก่อนวิกฤต Dot-com 2) สัดส่วน Cash-to-capex ratio ของบริษัท AI ขนาดใหญ่ยังสูงกว่า 1 ต่างจากช่วงวิกฤตครั้งก่อน ๆ ที่สัดส่วนมักต่ำกว่า 1 ซึ่งสะท้อนการลงทุนผ่านการกู้ยืม (Leverage) ที่มากเกินไป 3) อัตราว่างของ Data center อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังการผลิตใหม่ส่วนใหญ่กว่า 75% ถูกเช่าล่วงหน้าแล้ว แสดงให้เห็น Real demand 4) ผู้นำกลุ่ม AI (คลาวด์/ชิป) ยังมีกำไรจากการดำเนินงานและ ROIC แข็งแกร่ง ต่างจากยุค Dot-com ที่บริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนและต้องพึ่งพาการออกหุ้น และ 5) งบลงทุนส่วนใหญ่กระจุกที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Cloud (Hyperscalers) และผู้ผลิตชิป ที่มีผลกำไรดี และไม่ได้กระจายไปยังสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ขาดทุนมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
ด้วยเหตุนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่าได้ ในช่วงที่เกิด Investment boom โดยมองว่าอาจแข็งค่าในไตรมาส 2 เป็นต้นไปหลังจากที่ Fed จบ Easing cycle ส่วน US Treasury yield curve อาจชัน (Steepen) ขึ้นได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ (Neutral rate) ในระยะกลาง-ยาว มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยง Market correction หลัง Valuation ของราคาหุ้นกลุ่ม Tech ปรับสูงขึ้นมาก เนื่องจากตลาด Bullish จาก AI ไปมากแล้ว ซึ่งความสำเร็จในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ (AI adoption) ในวงกว้างได้หรือไม่
สำหรับมุมมองนโยบายการเงินที่คาดว่าจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค นายแพททริกประเมินว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และอีก 2 ครั้งในปีหน้า ทำให้จุดต่ำสุดของดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ range 3.00-3.25% ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยต่อเนื่องที่ 2.00% ในปี 2026 สะท้อนว่า Easing cycle ในยุโรปได้จบลงไปในปี 2025 ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มกลับมาขึ้นดอกเบี้ยได้ ตั้งแต่การประชุมเดือน ธ.ค. นี้และอาจขึ้นได้อีก 1 ครั้งในปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.00% ณ สิ้นปี 2026 ดังนั้น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นมีแนวโน้มแคบลงในปีหน้า แต่คาดว่าปัจจัยนี้จะไม่กระทบค่าเงินดอลลาร์มากนัก เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed ไว้แล้ว รวมถึงมองว่าการลดดอกเบี้ยจะจบลงภายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีหลังได้
นายแพททริกกล่าวด้วยว่า ช่วงที่มีการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ในเดือน เม.ย. ปีนี้ นักลงทุนลดความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ จึงเห็นเงินไหลออกจากสหรัฐฯ เข้ายุโรปและเอเชีย และเห็นการเพิ่ม Hedging ratio ของการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง สำหรับตลาดการเงินไทย ก็เห็นการเพิ่ม Hedging ratio ของการลงทุนเช่นกัน (โดยการขาย USDTHB forward) ซึ่งกดดันให้บาทแข็งค่าในช่วงหลังจากนั้น อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 3 พบว่านักลงทุนโลกเริ่มคลายความกังวลลง และเริ่มมีการลด Hedging ratio ลงมา พร้อมกับเงินทุนที่เริ่มไหลกลับเข้าสหรัฐฯ ในระยะต่อไป Hedging ratio จะเริ่มทรงตัว ซึ่งจะลดแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐลงได้ ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ ได้ในปีหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ นอกจากนี้ นโยบายการเงินของ Fed จะไม่แตกต่างจากเดิมมากแม้จะมีประธาน Fed คนใหม่ที่ Dovish มากขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้าที่อาจทุเลาลง
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนที่ผ่านมาเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีปัจจัยด้านอ่อนค่าจากเลขส่งออกเดือน ต.ค. ที่โตชะลอลง และการอ่อนค่าของเงินภูมิภาค (เช่น เงินเยน และเงินหยวน) ทั้งนี้ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงในช่วงปลายเดือน พ.ย. ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าได้อีกเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี โดยพบว่าในเดือน ธ.ค. เงินบาทแข็งค่าขึ้นเฉลี่ย 0.8% เทียบกับเดือนก่อนหน้า และแข็งค่าขึ้นถึง 7 จาก 9 ปีที่ผ่านมา 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. นี้ รวมถึงศาลสูงสุดของสหรัฐฯ อาจตัดสินเรื่องนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าได้ในระยะสั้น และ 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้น เช่น เงินเยนที่อาจแข็งค่าตามการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ดังนั้น จึงคาดว่า เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจอยู่ที่ราว 31.70-32.20 ณ ปลายปีนี้
สำหรับในระยะกลาง-ยาว (ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2026 เป็นต้นไป) เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ เนื่องจาก 1) ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีหน้า จากเงินทุนเคลื่อนย้ายรวมถึง FDI ที่อาจไหลเข้าสหรัฐฯ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุลน้อยลง 2) ความกังวลว่า Fed จะถูกแทรกแซงน่าจะปรับลดลง ทำให้ลดความกังวลต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลงได้ 3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการเลือกตั้ง (คาดว่าต้นไตรมาส 2) อีกทั้ง ยังมีความกังวลเรื่องการปรับลด Credit rating ของไทยลง ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกได้ 4) ไทยอาจจะไม่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ AI มากนัก เนื่องจากยังไม่สามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี และสินค้าไทยยังไม่ตอบโจทย์การลงทุนในเทรนด์นี้ ทำให้เงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดเอเชีย (เช่น ไต้หวัน เกาหลี) อาจไหลเข้าไทยจำกัด และไม่ส่งผลต่อเงินบาทมากและ 5) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลงในปี 2026 รวมถึง ธปท. พยายามลดความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำลง จึงทำให้แรงพยุงเงินบาทในปีหน้าอาจลดลง โดยเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าไปที่ราว 33.00-34.00 ณ ปลายปีหน้า
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย นายวชิรวัฒน์มองว่าYield curve มีแนวโน้มปรับชันขึ้น (Bear steepen) โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ST yields อายุ 2 ปี) อาจปรับลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. โดยการลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วในการประชุม กนง. เดือนนี้ จึงคาดว่า Yields อายุ 2 ปี อาจอยู่ที่ราว 0.90-1.10% ณ ปลายปี 2026 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (LT yields อายุ 10 ปี) อาจเผชิญแรงกดดันด้านสูงได้ เนื่องจาก Term premium อาจปรับสูงขึ้นต่อ ตามอุปสงค์ของนักลงทุนที่มีแนวโน้มลดลง และอุปทานพันธบัตรรัฐบาลรวมถึงหุ้นกู้เอกชนที่คาดว่าจะมีออกมามากขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองรวมถึงภาครัฐที่อาจใช้จ่ายมากขึ้น จะช่วยดัน LT yields ในปีหน้าได้ คาดว่า Yields อายุ 10 ปี อาจอยู่ที่ราว 1.70-1.90% ณ ปลายปี 2026
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้ 31.85 – 32.10 บาท/ดอลลาร์


