อินโดฯพบซูจีคุยเรื่องโรฮีนจา
รัฐมนตรีว่ากระทรวงต่างประเทศของอินโดนีเซียเข้าพบนางอองซาน ซูจี ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาเมื่อวันที่ 4 ก.ย.
เพื่อประชุมเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ชาวมุสลิมโรฮีนจาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเมียนมา เนื่องจากผู้ประท้วงชาวอินโดนีเซียกระตุ้นเตือนรัฐบาลให้มีท่าทีที่เด็ดขาดขึ้น
มีผู้ประท้วงชาวอินโดนีเซียหลายสิบคนที่มาประท้วงอยู่หน้าสถานทูตเมียนมาในอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 4 ก.ย.เพื่อเรียกร้องให้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับเมียนมาจากเหตุความรุนแรงที่มีต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจาอย่างต่อเนื่อง
“ เราจะพูดคุยกันในรายละเอียดของข้อเสนอจากอินโดนีเซียที่ว่า อินโดนีเซียจะสามารถให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในรัฐยะไข่ได้อย่างไร ” เรตโน มาร์ซูดิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอินโดนีเซียกล่าวในวีดีโอแถลงการณ์จากเมืองย่างกุ้งของเมียนมา
เธอมีกำหนดที่จะเดินทางไปบังคลาเทศเพื่อพูดคุยกับรัฐบาลที่นั่นเพื่อป้องกันการอพยพเข้าประเทศของผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา
ในระหว่างการประท้วงเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจในกรุงจาการ์ตา มีการโยนระเบิดเพลิงเข้าไปที่สถานทูตเมียนมาเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ขนาดย่อมๆ
โดยการประท้วงเกิดขึ้นหลังจากมีการเดินขบวนในมาเลเซียและมีการประณามจากผู้นำประเทศอย่างประธานาธิบดีเทยิป เออร์โดกันแห่งตุรกี ซึ่งกล่าวเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ว่า ความรุนแรงที่มีต่อชาวมุสลิมโรฮีนจาถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ที่ผ่านมา ชาวโรฮีนจาถูกเมียนมาปฏิเสธไม่ให้สิทธิความเป็นพลเมืองและถูกจัดเป็นกลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายถึงแม้จะมีการอ้างถึงรากเหง้าที่ย้อนหลังไปนับศตวรรษ โดยบังคลาเทศเองก็เริ่มมีความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับชาวโรฮีนจาเพิ่มขึ้น เนื่องจากชาวโรฮีนจามากกว่า 400,000 คนอพยพลี้ภัยจากเมียนมาข้ามพรมแดนมาที่บังคลาเทศตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 1990
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก รัฐบาลของอินโดนีเซียเคลื่อนไหวเพื่อเสนอให้ความช่วยเหลือแก่เมียนมาเพื่อพัฒนารัฐยะไข่ และปกป้องสิทธิของชาวโรฮีนจา ควบคู่ไปกับชาวพุทธซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่
อิฟาห์ โรห์มา นักเคลื่อนไหวจากองค์กรเพื่อนมุสลิมเพื่อชาวโรฮีนจาในกรุงจาการ์ตากล่าวว่า ขณะนี้ ชาวอินโดนีเซียในฐานะชาวมุสลิมมีความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวโรฮีนจาอย่างมาก
ทั้งนี้ เมียนมากล่าวว่า กองกำลังความมั่นคงกำลังต่อสู้ตามนโยบายปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่เริ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองทัพตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว.