สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 22 พ.ย. 68
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และสภาพอากาศวันนี้ : ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมถึงภาคใต้ตอนบน ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นในตอนเช้า. สำหรับภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคใต้ตอนล่าง
คาดการณ์ : วันที่ 23 – 25 พ.ย. 68 มวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลงเป็นกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากนั้น ความกดอากาศสูงกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลงกับมีอากาศเย็นถึงหนาวและมีลมแรง สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 24–27 พ.ย. 68 ภาคใต้จะมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนไปปกคลุมบริเวณเกาะสุมาตรา และอ่าวเบงกอลตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 90% ของความจุเก็บกัก (72,246 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 83% (48,124 ล้าน ลบ.ม.) มากกว่าปี 2567 จำนวน 6,246 ล้าน ลบ.ม.
3. คุณภาพน้ำ ณ จุดเฝ้าระวัง แม่น้ำสายหลัก
น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
น้ำเพื่อการเกษตร แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4. ข่าวประชาสัมพันธ์ : นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปี 2568 พี่น้องประชาชนหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ยาวนานกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต บ้านเรือน และทรัพย์สิน ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยในปีนี้ แม้ว่าหน่วยงานได้มีการเตรียมพร้อมระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดยปรับเป้าหมายให้เขื่อนมีปริมาณน้ำในช่วงสิ้นสุดฤดูฝน 80% ของความจุเก็บกัก จากเป้าหมายเดิมที่มุ่งเก็บน้ำให้เต็มความจุ เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มช่องว่างรองรับน้ำของเขื่อนให้มากขึ้น และยังคงมีการทยอยระบายน้ำในช่วงระหว่างฤดูอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศแปรปรวนในปีนี้ ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุได้แก่ พายุวิภา คาจิกิ หนองฟ้า ตาปะฮ์ รากาซา และบัวลอย ส่งผลให้ร่องความกดอากาศและหย่อมความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง ทำให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมากตลอดฤดู และมีน้ำไหลเข้าสะสมในเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบายน้ำของเขื่อนจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ท้ายน้ำควบคู่กันไปในหลายช่วงเวลาจึงจำเป็นต้องมีการลดการระบายน้ำเพื่อช่วยหน่วงน้ำไว้ในเขื่อน ไม่ให้ไหลไปสมทบในพื้นที่ที่มีระดับน้ำสูงอยู่แล้ว ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำจำนวนมากในช่วงปลายฤดูฝน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลที่ต้องระบายน้ำในอัตรา 30 – 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงสามารถรักษาอัตราการระบายอย่างคงที่ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
โดยน้ำจากเขื่อนในพื้นที่ตอนบนของประเทศ คิดเป็นประมาณ 25% ของน้ำท่าที่ไหลจากเขื่อนเจ้าพระยา ขณะเดียวกัน ช่วงปลายเดือนตุลาคมซึ่งปกติปริมาณน้ำจะเริ่มลดลง แต่ปีนี้กลับมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ช่วงวันที่ 31 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว ยังมีพายุคัลแมกีเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง ทำให้ปริมาณฝนเดือนพฤศจิกายนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้องเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอีกครั้ง สูงสุดถึง 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าจุดวิกฤต ที่ 2,730 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดด้านท้ายเขื่อน เช่น จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ลุ่มต่ำสองฝั่งแม่น้ำ ขณะนี้ ทุกหน่วยงานยังคงเร่งบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่ โดยได้ปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล และทยอยลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาลงตามลำดับ พร้อมทั้งระดมสรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย เพื่อให้สามารถเข้าฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้โดยเร็วที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 21 พ.ย. 68



