อินโดนีเซียตั้งหน่วยงานสู้ข่าวลวง
อินโดนีเซียจะจัดตั้งหน่วยงานที่เฝ้าระวังข่าวลวง หลังจากมีเรื่องเท็จมากมายแพร่กระจายในโซเชียลมีเดียรวมถึงข่าวที่อ้างว่า จีนทำสงครามชีวภาพด้วยพริกที่ปนเปื้อน
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายโจฮัน บูดิ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรายงานว่า หน่วยงานเฝ้าระวังข่าวไซเบอร์จะปกป้องสถาบันจากพวกแฮกเกอร์
นายวิรันโต รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับข่าวที่ล้นทะลักท่วมโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นข่าวเท็จ เต็มไปด้วยการหมิ้่นประมาทใส่ร้าย ล่อลวง และแพร่กระจายความเกลียดชัง
“ เสรีภาพในการพูดเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องมีการเคารพกฎหมายกันด้วย” เขากล่าว
โดยภารกิจหลักของหน่วยงานนี้คือ การเฝ้าระวังข่าวที่หลั่งไหลเข้ามาในออนไลน์ ทางหน่วยงานจะขึ้นกับกระทรวงความมั่นคงและจะทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้
เมื่อเดือนธ.ค. ประธานาธิบดีโจโค วิโดโดได้ประกาศเจตนาของเขาในการประชุมคณะรัฐมนตรีในการต่อสู้กับข่าวลวงในประเทศอินโดนีเซียที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 130 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 255 ล้านคน
หนึ่งในข่าวลวงที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนธ.ค.คือ ข่าวที่จีนกำลังทำสงครามอาวุธชีวภาพกับอินโดนีเซีย โดยเรื่องจริงที่ถูกเปิดเผยคือ มีชาวจีน 4 คนถูกจับกุมจากการนำเข้าเมล็ดพริกที่ปนเปื้อนแบคทีเรียในฟาร์มทางใต้ของกรุงจาการ์ตา
โดยสถานทูตจีนในกรุงจาการ์ตาถูกบีบให้ต้องออกแถลงการณ์ โดยในถ้อยแถลงบอกว่า ข่าวนี้เป็นเรื่องเท็จที่ก่อให้เกิดความกังวลครั้งใหญ่
อีกข่าวหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลกออนไลน์คือ ข่าวที่แรงงานชาวจีนหลายล้านคนจะเข้ามาทำงานแทนที่แรงงานในประเทศ ข่าวลวงนี้ก่อให้เกิดการต่อต้านชาวจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาที่มีเชื้อชาติจีนกำลังถูกสอบสวนในกรณีที่พูดจาดูหมิ่นคนเชื้อชาติอื่น
นายนุคแมน ลุธฟี ผู้เชี่ยวชาญอินเทอร์เน็ตกล่าวว่า เขาหวังว่าสำนักข่าวของรัฐแห่งนี้จะไม่ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน แต่เสริมว่ายังเร็วเกินไปที่จะให้ความเห็น “ จะเป็นเรื่องที่แย่มากหากจะใช้ในการเฝ้าระวังการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ เพราะเป็นสิทธิของประชาชนที่ควรจะทำได้ ” เขากล่าว
ทั้งนี้ มีความกังวลเพิ่มขึ้นทั่วโลกจากข่าวเท็จที่แพร่กระจายในโลกออนไลน์ โดยหลายคนวิจารณ์ว่า ข่าวลวงที่ล้นทะลักในโซเชียลมีเดียอาจมีส่วนช่วยให้มหาเศรษฐีอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เมื่อเดือนพ.ย. ในปีที่แล้ว.