“ไทยเครดิต” ประกาศงบปี 66 กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เกือบ 3,557 ล้านบาท
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) ประกาศผลงานปี 66 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่เกือบ 3,556.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.2% ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 22,858.5 ล้านบาท หนุนเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นปี 66 อยู่ที่ 144,156.5 ล้านบาท จากการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคารฯ
โดยเฉพาะสินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย พร้อมกับควบคุมต้นทุน รักษาอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 8.2% และ ROE พุ่งสูงขึ้นที่ 22.31% มองปี 67 พร้อมในการขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่ต้นทุนต่ำ
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (“ธนาคารฯ” หรือ “ธนาคารไทยเครดิต”) เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคารฯ ณ สิ้นปี 2566 (ม.ค. – ธ.ค. 2566) ธนาคารฯ มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่น มีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารฯ เท่ากับ 144,156.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,858.5 ล้านบาท หรือ 18.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักเนื่องมาจากการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อหลักของธนาคารฯ ทั้งสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย และสินเชื่อบ้านแลกเงิน
สอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารฯ อยู่ที่ 15,894.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 12,684.7 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2,904.5 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคารฯ ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารฯ ควบคู่การมุ่งเน้นบริหารจัดการ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดําเนินงานของธนาคารฯ ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2565 เทียบกับสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 39.5% เป็น 36.7% สาเหตุหลักมาจากประสิทธิภาพในการดําเนินงานที่ดีขึ้น จากเครื่องมือที่ธนาคารฯ พัฒนานํามาใช้ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าธนาคารฯ มีรายได้จากการดําเนินงานต่อสาขา ปริมาณสินเชื่อต่อสาขา และปริมาณเงินฝากต่อสาขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิทําสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 3,556.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 2,352.5 ล้านบาท โดยอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 2566 ของธนาคารฯ อยู่ที่ 8.2% ใกล้เคียงปีก่อนที่ 8.4% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยของธนาคารฯ สอดคล้องกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. และมาตรการลดหย่อนค่าเงินนําส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) สิ้นสุดลงในปี 2565 อย่างไรก็ตาม กําไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในปี 2566 (ROE) สูงขึ้นเป็น 22.31% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 18.94%
สำหรับแนวโน้มปี 2567 ธนาคารฯ จะยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการระดมทุน (IPO) ในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อได้ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโตในระดับ 20%-30% ต่อปี รวมทั้งมีผลตอบแทนสูง ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่ต้นทุนต่ำ
ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิต เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้เท่าที่ควร รวมไปถึง บริการเงินฝาก และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคารฯ ยึดมั่นในวิสัยทัศน์และพันธกิจที่มุ่งเน้นการดําเนินธุรกิจบนพื้นฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้บริการทางการเงินที่ดีที่สุด เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตทางธุรกิจ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยบริการไมโครไฟแนนซ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของธนาคารฯ และยกระดับชีวิตทางการเงินได้อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญา “Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ”