ทองแท่งขายออกบาทละ 33,600 บาท
สงครามอิสราเอล-ฮามาส ดันราคาทองคำในประเทศสูงขึ้น ทุบสถิติใหม่ โดยทองคำแท่ง 96.5% รับซื้อเข้าบาททองคำละ 33,500 บาท ขายออกบาททองคำละ 33,600 บาท เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่า
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองวันนี้ ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยทองคำแท่ง 96.5% รับซื้อเข้าบาททองคำละ 33,500.00 ขายออกบาททองคำละ 33,600.00
“ราคาทองไทยปรับตัวขึ้น เนื่องจากในจังหวะที่ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวขึ้น ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า แต่ราคาทองต่างประเทศ ไม่ได้มีการพุ่งขึ้นนิวไฮ จังหวะที่ทองต่างประเทศขึ้น เงินบาทอยู่ในกระแสอ่อนค่า ทำให้ทองไทยปรับตัวได้ค่อนข้างดี” นายวรุต กล่าว
ทั้งนี้ ราคาทองทั้งในประเทศ และต่างประเทศต่างพุ่งขึ้น จากประเด็นการสู้รบระหว่างอิสราเอลและตะวันออกกลางมีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น และเริ่มมีความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะขยายวงกว้างออกไป จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่กลับมากระตุ้นการซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยวานนี้ (18 ต.ค.) ทองบวกขึ้นกว่า 20 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
สำหรับราคาทองในระยะถัดไป ยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ถ้าขยายวงกว้างมากขึ้น ก็จะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองจะปรับตัวขึ้นต่อได้ ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มเกิดขึ้นในระดับค่อนข้างสูง
“ส่วนหนึ่งถูกประเมินว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มฮามาสอาจสร้างความโกรธแค้นกับกลุ่มฮามาสและชาวปาเลสไตน์ ซึ่งล่าสุดมีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 รายแล้ว ดังนั้น จึงอาจเกิดการแก้แค้น ก่อวินาศกรรม หรือสงครามที่มีโอกาสยืดเยื้อได้” นายวรุต กล่าว
อย่างไรก็ดี ถ้าสถานการณ์สงครามคลี่คลาย หยุดรบกัน โดยข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และยุโรป ระบุว่า แท้จริงแล้วเหตุการณ์ระเบิดโรงพยาบาลที่กาซา อาจมีผู้เสียชีวิตที่แท้จริงไม่ถึง 500 ราย อาจมีผู้เสียชีวิตแค่หลักสิบเท่านั้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจทำให้สถานการณ์เบาบางลงได้ หรือกรณีที่มีการตรวจสอบพบว่า การระเบิดดังกล่าวไม่ได้มาจากทางอิสราเอล แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มฮามาส เพื่อต้อนรับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือเป็นการสร้างกระแสเรียกความน่าสงสาร ความเห็นใจ หรือเป็นกลุ่มติดอาวุธอื่นเข้ามาแทรกแซง ฯลฯ อาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล และชาวปาเลสไตน์ หรือกลุ่มฮามาส เบาบางลงได้เช่นกัน
ในส่วนของราคาทองมีข้อแนะนำว่า ให้ดูราคาทองระดับสูงสุดของแต่ละเดือนที่ผ่านมา เพื่อประเมินสถานการณ์หรือแนวโน้มของราคา โดยอาจต้องใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยด้านเทคนิคประกอบกัน ในส่วนของแนวต้านมองไว้ที่ 1,966-1,987 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ (เป็นระดับสูงสุดของเดือนส.ค. และก.ค. ตามลำดับ และ 1,983 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เป็นระดับสูงสุดของเดือนมิ.ย.)
“ถ้าทองไม่ผ่านระดับดังกล่าว อาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง หรือลงทุนด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจมีแรงขายทำกำไรในระยะสั้นสลับกลับลงมา ทั้งนี้ ถ้าสถานการณ์เกิดตึงเครียดมากขึ้น ทวีความรุนแรงมากขึ้น ราคาทองก็มีโอกาสปรับตัวผ่านระดับแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้” นายวรุต กล่าวและกล่าวว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าสถานการณ์ทรงตัว หรือเริ่มคลี่คลาย ราคาทองคำตอบรับในเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าว อาจทำให้ราคาไต่ขึ้นไปไม่มาก โดยวานนี้ (18 ต.ค.) ทองขึ้นมาที่ 1,962 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ใกล้ระดับสูงสุดเดือนส.ค. จึงเกิดแรงขายทำกำไรสลับกลับลงมา ดังนั้น จึงมองแนวต้านกรณีนี้ไว้ที่ 1,932-1,911 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
“ถ้าราคาไม่หลุด 1,932-1,911 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ยังแนะนำว่าสามารถเข้าซื้อเพื่อเล่นสั้น หรือหวังทำกำไรจากการไต่ระดับของราคา ซึ่งน่าจะสามารถทำกำไรได้ 30-40 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์” นายวรุต กล่าว