ก้าวไกลต่อมศีลธรรมแตก ล้อมคอกก่อนเกิดวิกฤตศรัทธา
ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ กลายเป็น “วิกฤตศีลธรรม” ของพรรคคนหนุ่ม-คนสาว อย่างพรรคก้าวไกล ลูกล่าสุดปรากฏ “แชทหื่น” ของ “สส.ปราจีนบุรี” ต่อหน้าธารกำนัล
คณะกรรมการวินัย-จรรยาบรรณสมาชิกพรรคก้าวไกล ที่มี “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นั่งหัวโต๊ะ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง “วุฒิพงศ์ ทองเหลา” สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล หลังตกเป็น “จำเลยสังคม” โดย “ขีดเส้น” ต้องได้ข้อยุติภายในเดือนต.ค.นี้
นอกจากเคสของนายวุฒิพงศ์แล้ว ก้าวไกล “ชิงมอบตัว” ก่อนที่เรื่องคาวจะฉาวโฉ่ออกมาสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับพรรค โดยมี “สส.ก้าวไกล” ซึ่งยังไม่ปรากฏรูป-นามต่อสาธารณะอยู่ระหว่างคณะกรรมการวินัยฯ สอบสวนภายหลังมีผู้ร้องเรียน
พรรคก้าวไกลที่ขึ้นชื่อด้วยอุดมการณ์ “เสมอภาคทางเพศ” สิทธิ-เสรีภาพ คุกคาม-ละเมิดมิได้จึงต้องเร่งกู้วิกฤตศีลธรรมที่กำลังถาโถมเข้าใส่ซ้ำซาก จนอาจลุกลามกลายเป็น “วิกฤตศรัทธา”
โดยการแก้เกม-แก้กรรรม ด้วยการระดมสมองออกแบบมาตรการแก้ปัญหาการคุกคามทางเพศให้หายขาดชะงัด 1.ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการวินัยฯ ให้มีสัดส่วนของผู้เชี่ยวชาญภายนอก-ไม่ใช่เพศชายเพิ่มขึ้น
2.ทบทวนและพิจารณาปรับปรุงกระบวนการสอบสวนตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้า และ 3.เพิ่มความเข้มข้นการอบรมบุคลากรเรื่องการเคารพความเสมอภาคทางเพศ-สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย และปรับปรุงกระบวนการคัดกรองบุคลากรให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
กรณี “สส.แชทหื่น” และ สส.ก้าวไกลที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ว่าจะด้วยทางกาย ทางวาจร และการใช้ความรุนแรงต่อเพศหญิง “ไม่ใช่ครั้งแรก”
รายแรกในปี 2565 เกิดกรณี “อานุภาพ ธารทอง” อดีต ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกดำเนินคดีคุกคามทางเพศ “ผู้เยาว์” ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี จนต้องชิงโพสต์เฟซบุ๊กประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ก.
ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นศาลอาญากรุงเทพใต้ และอยู่ระหว่าง “ปล่อยตัวชั่วคราว” จึงยังถือว่านายอานุภาพยังเป็น “ผู้บริสุทธิ์” จนกว่า “คดีจะถึงที่สุด”
รายที่สอง “สิริน สงวนสิน” อดีต สส.กทม. พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหากรณี “แฟนสาว” แจ้งข้อกล่าวหาทำร้ายร่างการและทำให้เสียทรัพย์
คณะกรรมการวินัยของพรรคมีมติลงโทษสถานหนักนายสิรินฐาน “กระทำผิดวินัยร้ายแรง” โดยการตัดสิทธิไม่ให้ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคทันที เช่น ตำแหน่งที่มีอำนาจบริหารทุกระดับ หรือตำแหน่งประธานกรรมาธิการ (กมธ.)
นอกจากนี้ยัง “คาดโทษ” นายสิริน หากกระทำผิดวินัยร้ายแรงอีกครั้งในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่เป็น สส. จะยกระดับโทษเป็นการ “ขับออกจากสมาชิกภาพ”
รายที่สาม “เกรียงไกร จันกกผึ้ง” อดีตผู้สมัคร สส.ชัยภูมิ พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งคณะกรรมการวินัยฯ ชี้มีมูล-มีมติ “ขับออกจากสมาชิกพรรค” เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่ออุดมการณ์พรรค-กระทำผิดวินัยพรรคอย่างร้ายแรง
หรือกรณี “ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์” ว่าที่ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล “เมาแล้วขับ” มิหนำซ้ำยังถูก “ใส่ไฟ” ว่า ใช้ตำแหน่ง “ว่าที่ สส.” ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ จนต้องประกาศลาออกจาก สส. ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีข้อแก้ตัว
โดยศาลอาญามีนบุรี มีคำตัดสินให้ลงโทษน.ส.ณธีภัสร์ จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน เป็นเวลา 1 ปี ทำกิจกรรมบริการสังคม 12 ชั่วโมง พักใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน
รวมถึงกรณี “นครชัย ขุนณรงค์” ที่ต้องลาออกจาก สส.ระยอง เขต 3 เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดจำคุก หลังจากโดน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาแฉ ผ่านรายการ “โหนกระแส” ว่า ขาดคุณสมบัติการเป็น สส.
แม้กระทั่ง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สมัยเป็นว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกทม. ก็เคยถูก “จับผิด” กรณี “จ้องหน้าอกไม่หยุด” ของ “เพื่อนมุก” จนทีมงานพรรคก้าวไกล ต้องงัด “กล้องวงจรปิด” มาแก้ต่าง-แก้ข้อกล่าวหา
หากจะกล่าวให้ถึงที่สุด “ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าตลอดกาล พรรคก้าวไกล ก็เคยประสบกับ “มรสุมชีวิตรัก” จนโดนเสียงซุบซิบนินทาทุกวงการ และมาหนักข้อมากขึ้นเมื่อกระโจนเข้ามาสู่ปลักโคลนการเมือง แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้
หากย้อนกลับไป “คดีนักการเมืองล่วงละเมิดทางเพศ” ที่เป็น talk of the town ในแวดวงการเมือง คือ กรณี “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกล่าวหาใน “คดีทำอนาจาร”
หลัง “ทนายตั๊ม” ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กแฉพฤติกรรมฉาวว่า เป็น “รองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่” และมี “พ่อดังระดับโลก” มีพฤติกรรมลวนลามหญิงสาวบนชั้นดาดฟ้าร้านอาหารย่านสุขุมวิท โดยใช้เรื่องงาน-กลหุ้นเป็นอุบายล่อลวง
แม้จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ทนแรงกดดันจากในพรรค-นอกพรรคไม่ไหวจนต้องประกาศลาออกทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ คือ รองหัวหน้าพรรค หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ผู้อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เพื่อขอเคลียร์ตัวเองในชั้นศาล
ขณะนั้นนายปริญญ์ถือว่า “เนื้อหอม” และได้รับความไว้วางใจจาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น โดยให้ดำรงตำแหน่งและมีบทบาทสำคัญในพรรคถึง 3 ตำแหน่งหลักและถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป
สุดท้ายศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษนายปริญญ์ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดข้อหากระทำอนาจารนักศึกษาสาวอายุ 18 ปี
ต่อมาล่าสุดศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาตัดสินลงโทษนายปริญญ์ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยการขู่เข็ญ-ใช้กำลังประทุษร้าย ต่อหน้าธารกำนัล โดยศาลให้นับโทษต่อจาก “คดีแรก”
กรณีของนายปริญญ์กลายเป็นอาฟเตอร์ช็อกสะเทือนไปถึง “ต้นสังกัด” พรรคประชาธิปัตย์จนลานพระแม่ธรณีบีบมวยผมลุกเป็นไฟ เกิดวิวาทะของ “สส.หญิง” ในกลุ่มไลน์ของพรรคเก่าแก่
ทำให้ “รัชดา ธนาดิเรก” อดีต สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และรองโฆษกรัฐบาลขณะนั้น ต้องออกมาแถลงข่าวขอโทษต่อสังคมเพื่อแสดงความรับผิดชอบเยี่ยงชายอกสามศอก
ช่วงเวลานั้นน.ส.รัชดาถือเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และพรรคประชาธิปัตย์ในการรณรงค์เรื่องสิทธิสตรีและการให้ความสำคัญกับผู้หญิง
ผลที่เกิดขึ้นในวันนั้นนำไปสู่การแก้ไขข้อบังคับพรรคเพื่อล้อมคอกไม่ให้เกิด “คดีปริญญ์” ซ้ำรอย จนกลายเป็นรอยด่าง-ตราบาปของพรรคประชาธิปัตย์
โดยเพิ่มเติมในหมวด 2 สมาชิกภาพ ข้อ 9 (19) สมาชิกต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ว่า “เคยกระทำความผิด ในความผิดทางเพศ รวมถึงการกระทำความรุนแรงต่อบุคคลในครอบครัว เด็ก สตรี รวมทั้งการค้ามนุษย์ ค้าประเวณี และมีคำพิพากษาถึงที่สุด”
เมื่อปุถุชนถูกยกสถานะเป็น “บุคคลสาธารณะ” แสงสปอร์ตไลต์ย่อมฉายจับ-ถูกเข้าเครื่องสแกนพฤติกรรมทั้งกรรมเก่า-กรรมใหม่ไม่ให้ลอยนวล