กรมศุลฯ ครึ่งปีแรกจัดเก็บรายได้ทะลุเป้าอนิสงส์ “พริอุส”
กรมศุลกากรครึ่งปีแรกจัดเก็บรายได้ 346,577 ล้านบาท เกินกว่าเป้า 26,294 ล้านบาท หรือ 8.2% เนื่องจากบริษัทเอกชนได้ชำระภาษีเพิ่มจากการนำเข้ารถยนต์ไม่ถูกต้องจำนวน 7 พันล้านบาท
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า ในปีนี้ กรมฯ ได้รับมอบหมายจัดเก็บรายได้รวม 114,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรก จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณแล้ว 8.2% และหากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่า สิ้นปีนี้ กรมฯ จะจัดเก็บรายได้ตรงตามเป้าหมายอย่างแน่นอนทั้งนี้ กรมศุลกากรในฐานะประตูของประเทศไทย ยังมีหน้าที่จัดเก็บรายได้แทนหลายหน่วยงาน เช่น กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) รวมถึงภาษีสรรพสามิตและภาษีท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย อีกด้วย
ดังนั้น หากแยกผลการจัดเก็บรายได้ออกมาแล้ว พบว่า เฉพาะกรมศุลกากรหน่วยงานเดียว จัดเก็บรายได้ 67,322 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 14,282 ล้านบาท หรือ 26.9% เนื่องจาก การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศขยายตัวมากขึ้น ประกอบกับมีการชำระอากรตามคำพิพากษาคดี (Toyota Prius) ทำให้กรมฯ จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 14,622 ล้านบาท หรือ 27.7%ขณะที่ การจัดเก็บรายได้แทนหน่วยงานมียอดรวม 279,255 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 12,013 ล้านบาท (ปีก่อน 267,242 ล้านบาท) หรือ 4.5% ได้แก่ จัดเก็บแทน กรมสรรพากร 206,535 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 3,794 ล้านบาท หรือ 1.9% จัดเก็บแทน กรมสรรพสามิต 45,247 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 7,089 ล้านบาท หรือ 18.6% จัดเก็บแทน กระทรวงมหาดไทย 27,473 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 1,130 ล้านบาท หรือ 4.3%แต่มีสิ่งที่น่าสังเกตว่า มีสินค้าบางรายการ มียอดนำเข้าและเสียภาษีสูงขึ้นอย่างกว้ากระโดด เช่น เครื่องสำอาง นับรวมถึงอาหารเสริม โบท็อกซ์ และฟิลเลอร์ เป็นต้น จัดเก็บได้กว่า 1,685 ล้านบาท เพิ่ม 32.4% ยารักษาโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ซึ่งจัดเก็บเป็นเฉพาะกลุ่ม จัดเก็บได้กว่า 2,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.7กระเป๋าแบรนด์เนม จัดเก็บได้กว่า 1,991 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.5% จากเดิมปกติเก็บได้ 1,500 ล้านบาท และรถยนต์นั่ง จัดเก็บได้กว่า 7,772 ล้านบาท จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น 18.6%
นายพันธ์ทอง กล่าวว่า การขยายตัวของสินค้าฟุ่มเฟือย มีมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด19 นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทย นิยมซื้อกระเป๋าหรูมากขึ้น เพราะเข้ายุโรปไม่ได้ ขณะเดียวกัน เทรนด์การให้ความสำคัญกับสุขภาพ และความสวยความงาม จึงมีการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ เพิ่มมากขึ้น
ส่วนการจับกุมคดีหมูเถื่อนนั้น สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 13 คดี น้ำหนักรวม 4.6 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 240 ล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาหมูในประเทศมีราคาสูงขึ้น จึงพบการพยายามลักลอบนำเข้ามามากกว่าปกติ อย่างไรก็ดี กรณีจับพบหมูเถื่อนนั้น กรมมีการส่งต่อให้กรมปศุสัตว์ไปฝังกลบและทำลาย เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อ