ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีเม็กซิโก
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีหากเม็กซิโกไม่มีการปรับปรุงเรื่องปัญหาผู้อพยพที่ชายแดน
โดยผู้นำสหรัฐฯระบุในแถลงการณ์ของทำเนียบขาวว่า จะมีการเก็บภาษีรอบแรกในอัตรา 5% เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. “ กับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโก”
แถลงการณ์ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะทำตามคำขู่ภายใต้อำนาจจากกฎหมายเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศโดยเขาจะขึ้นภาษี “หากเม็กซิโกไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการแก้วิกฤตผู้อพยพผิดกฎหมาย”
แถลงการณ์ยังได้เตือนถึงมาตรการเพิ่มเติมหากเม็กซิโกไม่ทำตามที่ทรัมป์ต้องการ โดยอัตราภาษีจะปรับขึ้นเป็น 10% ภายในเดือนก.ค. 15% ในเดือนส.ค. 20% ในเดือนก.ย. และอยู่ในอัตราถาวรที่ 25% ในเดือนต.ค.
ทรัมป์ไม่พอใจในประเด็นพรมแดนและการอพยพผิดกฎหมายมากขึ้น เขายังมีความขัดแย้งกับพรรคเดโมแครตเรื่องการสร้างกำแพงกั้นพรมแดน และกล่าวโทษประเทศจากอเมริกากลางที่มีผู้อพยพจำนวนมากเดินทางมาที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ภาษีเหล่านี้ผู้ที่จ่ายคือผู้นำเข้า ไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออก หากภาษีมีผลบังคับใช้ บริษัทนำเข้าต้องตัดสินใจว่าจะรับภาระเอง หรือส่งต่อไปให้ผู้บริโภคอเมริกัน
จากข้อมูลของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกทั้งหมดมูลค่า 346,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 11.05 ล้านล้านบาท) ในปี 2561 ซึ่งรวมถึงรถยนต์และเครื่องจักร รวมถึงสินค้าเกษตรด้วย
ทรัมป์เคยทวีตถึงเรื่องนี้ก่อนมีแถลงการณ์ออกมา โดยสัญญาว่าจะเก็บภาษีจนกว่าการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพจะหยุดลง
“ ในวันที่ 10 มิ.ย. สหรัฐฯจะเก็บภาษี 5% กับสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโก เนื่องจากมีผู้อพยพผิดกฎหมายผ่านเข้ามาทางเม็กซิโก และเข้ามาประเทศของเรา หยุดซะ ! ” ทรัมป์ทวีต
“ก่อนเราปิดพรมแดน เราจะเก็บภาษีรถยนต์” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว “ผมไม่คิดว่าเราจะต้องปิดพรมแดน เพราะภาษีรถยนต์ที่นำเข้ามาในสหรัฐฯจากเม็กซิโกในอัตรา 25% จะหนักมาก”
คำขู่ของทรัมป์เรื่องภาษีกับเม็กซิโก ยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรกับข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ – เม็กซิโก -แคนาดา ซึ่งรัฐบาลกำลังผลักดันสภาคองเกรสให้ผ่านความเห็นชอบ