หัวเว่ยรายได้ Q1 พุ่ง 39% แม้ถูกกดดัน
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.บริษัทหัวเว่ยรายงานรายได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ที่เติบโตถึง 39% เมื่อเทียบกับปีก่อน ชี้ให้เห็นว่าบริษัทยังคงเติบโตแม้ถูกกดดันทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมระบุว่า รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 26,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 857,868 ล้านบาท ) ในไตรมาสแรกของปี 2562 และหัวเว่ยระบุว่าได้จัดส่งสมาร์ทโฟนถึง 59 ล้านเครื่องในไตรมาสแรก
หัวเว่ยระบุในการแถลงข่าวว่า ปี 2562 “จะเป็นปีที่มีการใช้งาน 5G ในขนาดใหญ่ทั่วโลก” และธุรกิจให้บริการของบริษัท “มีโอกาสในการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์” ช่วงสิ้นเดือนมี.ค. หัวเว่ยได้ลงนามใน 40 สัญญาเพื่อการพาณิชยย์กับบริษัทผู้ให้บริการ 5G ชั้นนำทั่วโลก
ทั้งนี้ เทคโนโลยี 5G เป็นเทคโนโลยีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตในยุคที่ 5 ซึ่งจะมีความเร็วกว่าเดิมมาก พร้อมด้วยศักยภาพที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น รถยนต์ไร้คนขับ
เป็นครั้งแรกที่หัวเว่ยเปิดเผยรายงานรายได้ประจำไตรมาส ที่ผ่านมา บริษัทมักรายงานผลลัพธ์ทางการเงินเป็นช่วงเวลาครึ่งปี และทั้งปี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ บริษัทยังคงพยายามแสดงให้เห็นว่า บริษัทยังคงเติบโต ถึงแม้จะถูกแบนอย่างหนักไม่ให้บริษัทได้มีโอกาสเข้าร่วมในการประมูลสัมปทานให้บริการ 5G ในออสเตรเลียและญี่ปุ่น
สหรัฐฯ พยายามกดดันชาติพันธมิตรอย่างเยอรมนี และสหราชอาณาจักรเพื่อขัดขวางหัวเว่ยจาก 5G แต่ทั้งสองประเทศยังไม่ทำตามสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯกล่าวหาว่าหัวเว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมความลับของรัฐบาลจีน แต่หัวเว่ยยืนกรานปฏิเสธการกล่าวหานี้มาโดยตลอด
ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อ CNBC เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยระบุว่า การกล่าวหาของสหรัฐฯช่วยโฆษณาให้บริษัทได้มาก
“ เพราะประเทศทรงอิทธิพลกลัวบริษัทเล็กๆอย่างเรา ประเทศอื่นก็เลยบอกว่า “ ผลิตภัณฑ์ของคุณดีมากจนรัฐบาลสหรัฐฯยังกลัว เราจะไม่ทดสอบผลิตภัณฑ์ของคุณ เราจะซื้อเลย” นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันจึงซื้อของจากเรา พวกเขาซื้อจำนวนมาก เพราะรัฐบาลสหรัฐฯช่วยโฆษณาให้เรา” เขาเล่าให้ฟังโดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศผู้ซื้อ
ทั้งนี้ เขายังตั้งเป้าว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า หัวเว่ยจะเติบโตมีรายได้ทะลุ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 6.40 ล้านล้านบาท ) หลังจากปี 2561 รายได้ของบริษัทได้ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯไปแล้ว.