ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 16-17 ก.พ.2566
จับอาการ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตลอด 2 วันของการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ระหว่างวันที่ 15-16 ก.พ.
เรื่องที่ 1,814 “นายกฯประยุทธ์” ทำการบ้านมาดีพอสมควร ตอบหลากหลายข้อซักถามได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ตอบบางคำถามที่จะนำไปซึ่งการโต้เถียงแบบยืดยาว
นั่น จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ หลุดพ้นจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่มักจะดูดคลิป และคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ เหมือนกับหลายๆครั้งที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังสังเกตได้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” พยายามข่มอารมณ์ ไม่ได้หลุดถึงขั้นโมโห และไม่มีอาการตอกกลับฝ่ายค้านอย่างรุนแรง
นั่นอาจเพราะว่า “พล.อ.ประยุทธ์” กำลังเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้น หากหลุด ปรี๊ด ตวาดใส่ฝ่ายค้านกลางสภา มีหวังถูกเล่นงานกลับอย่างหนัก ดีไม่ดีอาจมีผลต่อการเลือกตั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุปคือในการอภิปรายตลอด 2 วัน ผู้นำรัฐบาลอย่าง “บิ๊กตู่” สามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น แม้จะยังมีบางข้อครหาที่ยังไม่ได้ตอบข้อสงสัยของเพื่อนสมาชิกก็ตาม
เรื่องที่ 1,815 รอแล้วรอเล่าได้แต่รอ ไม่รู้ว่าพวกเจ้านายจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้ฤกษ์ประกาศปรับลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินได้เสียที ทั้งที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือกบง. ได้มีมติเห็นชอบค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม โดยปรับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่สภาวะปกติตามปี 2563 โดยตอนแถลงข่าว ท่านรองพงษ์ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประกาศลั่นไปแล้วว่า
การปรับค่าการตลาดดังกล่าวจะทำให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินปรับลดลงสูงสุดได้ถึง 0.90-1.20 บาทต่อลิตรดังกล่าว โดยให้มีผลไปตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ทีเวลาจะปรับขึ้นไม่เห็นต้องคิดอะไรมากมาย ไม่เห็นสนใจว่าประชาชนจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่รู้ว่าทื่บอกจะให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เป็นไปตามมติของ กบง.นั้นต้องใช้เวลาเดินทางสาสน์นานสักเท่าไหร่กันขอรับเจ้านาย
เรื่องที่ 1,816 ในที่สุด หลายๆ หน่วยงานของกระทรวงการคลัง ต่างก็เดินเข้าแอปฯ เป๋าตัง เพื่อลดต้นทุน และช่วยให้คนไทยเข้าแหล่งเงินทุน เช่น สลากดิจิทัล กอช.และล่าสุด ธนาคารเอสเอ็มอีแบงก์ ก็เข้ามาร่วมกับเป๋าตังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มเปิดให้บริการระยะแรก (เฟสที่ 1) ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.2566 เป็นต้นไป เบื้องต้นมีเมนูสำคัญ ได้แก่ 1. บริการสามารถเรียกดูรายการชำระสินเชื่อย้อนหลัง (Loan Payment History) สูงสุด 6 เดือน สำหรับลูกค้า SME D Bank กลุ่มบุคคลธรรมดา 2.บริการชำระค่างวดสินเชื่อ (Loan Payment) ของลูกค้ากลุ่มบุคคลธรรมดา
และ 3.บริการข้อมูลข่าวสารผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และงานพัฒนาจาก SME D Bank ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการ “ความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพธุรกิจเดินหน้าได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด นอกจากนั้น ในอนาคตจะขยายบริการใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น การแจ้งเตือนบริการ (Notification) ตรวจข้อมูลเครดิตบูโร (Check NCB) และสมัครขอสินเชื่อ เป็นต้น
เรื่องที่ 1,817 พรุ่งนี้ (17 ก.พ.) ติดตามผลการประชุมบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มี “อธิบดีบัด-ลวรณ แสงสนิท” อธิบดีกรมสรารพากร ในฐานะประธาน จะมีการพิจารณาเพิ่มปริมาณสลากอีก 2 ล้านฉบับ จาก 17 ล้านฉบับ เป็น 19 ล้านฉบับ พร้อมกับชื่นชมราคาสลากแบบใบๆ ในท้องตลาดที่ลดลง จากฉบับละ 100 บาท ลดลงเหลือ 90 บาท แสดงให้เห็นว่า กลไกลตลาดเริ่มทำงานระหว่างสลากในระบบดิจิทัล กับสลากใบๆ ในท้องตลาด โดยในปีนี้ “ท่านประธานบอร์ด” ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสลากดิจิทัลเป็น 30 ล้านฉบับ เพื่อสร้างความสมดุลและลดการจำหน่ายสลากเกินราคาให้ได้
โดยนพวัชร์