เศรษฐกิจไทยรับอานิสงส์จีนเปิดประเทศ
ท่องเที่ยวบูม – ธุรกิจได้ประโยชน์ สศช.จ่อปรับรายได้ – จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มหลังจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีนมีคำสั่งผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 เริ่มเปิดประเทศให้มีการเดินทางเข้าออกประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศจีนจะต้องมีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR และไม่ต้องมีการกักตัวเฝ้าระวังโควิด ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ครั้งใหญ่ในรอบ 3 ปี จากเดิมที่รัฐบาลจีนประกาศปิดชายแดนต่างๆ ไปจนถึงล็อกดาวน์บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก
จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว ชาวจีนออกมาประท้วงแสดงความไม่พอใจครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2012 นำมาสู่การผ่อนคลายมาตรการโควิด-19ในครั้งนี้ส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่จะได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นด้วย
15 เที่ยวบินเข้าไทยวันแรกหลังเปิดประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆที่นักท่องเที่ยวจีนต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวภายหลังจากที่ประเทศจีนผ่อนคลายมาตรการ โดยจากผลสำรวจภายในประเทศจีนไทยติด 1 ใน 5 ที่ชาวจีนอยากเดินทางมาท่องเที่ยวหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 มากที่สุด
ทันทีที่เปิดประเทศเที่ยวบินจากประเทศจีนก็ได้เดินทางมาประเทศไทยทันทีในวันแรกกว่า15 เที่ยวบิน โดยมีเที่ยวบินแรกจากเมืองเซี่ยะเหมินที่พานักท่องเที่ยวจีนมายังประเทศไทย 286คน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข รวมทั้งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้การต้อนรับ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่ากระทรวงท่องเที่ยวคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยประมาณ 5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในไตรมาสแรก จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประมาณ 3 แสนคน โดยจุดหมายปลายทางที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ จ.ภูเก็ต เชียงใหม่ รวมถึงหลายจังหวัดในภาคอีสาน
ททท.คาดรายได้ท่องเที่ยงปีนี้แตะ 2.38 ล้านล้านบาท
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่าในปี 2566 การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนและช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดย ททท.ตั้งเป้าหมายให้รายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2566 กลับมาอยู่ในอัตรา 80% ของปี 2562 โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมสูงสุด อยู่ที่ 2.38 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 ล้านคน และการท่องเที่ยวในประเทศ โดยการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่ต้นปี 2566 จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวไทยไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้
ทั้งนี้ ททท. ได้ดำเนินการการส่งเสริม “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” สำหรับตลาดในประเทศ และ “Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” สำหรับตลาดต่างประเทศ อย่างต่อเนื่องจากปี 2565 เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้มั่นใจว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวตามเป้าหมายทั้งในแง่รายได้และการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องยุทธศาสตร์ “China is Back” ให้การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นปฐมบทครั้งใหม่ในเชิงคุณภาพบนพื้นฐานความปลอดภัย โดยโฟกัสนักท่องเที่ยว Segment ใหม่ๆ เร่งฟื้นจำนวนที่นั่งสายการบิน รวมถึงส่งเสริมการเดินทาง Overland ในทุกช่องทางของนักท่องเที่ยวจีน
สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ประเมินว่า หลังรัฐบาลจีนปลดล็อก นักท่องเที่ยวจากจีนจะทยอยเดินทางมาไทย โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงตรุษจีน 2566 หรือปลายเดือน ม.ค. และจะเข้ามามากยิ่งขึ้นในช่วง เม.ย.-พ.ค. ปีหน้า ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประเมินว่า ปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากกว่า 5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่มีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 270,000 คน
นักท่องเที่ยวจีนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย 3 ด้าน
สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทยวิเคราะห์ว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน เชื่อว่าจะดีต่อเศรษฐกิจไทย ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ข้อ ได้แก่
1. การกลับมาเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน เชื่อว่าจะกลับมาเร็ว แรง และเติบโตสูง ทั้งนี้ จากประสบการณ์ในต่างประเทศ พบว่า หลังเปิดประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวไวกว่าที่คาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนจีนที่โหยหาการเดินทาง อัดอั้นจากมาตรการ zero covid ของรัฐบาล ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ร่วม 3 ปี นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนยังมากทั้งเชิงจำนวนนักท่องเที่ยว และปริมาณการจับจ่ายใช้สอย โดยก่อนโควิด ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเติบโตสูงถึงปีละ 10-15%
2. ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของนักท่องเที่ยวจีน พบว่า นักท่องเที่ยวจีนจับจ่ายสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมหลายหมวด ทั้งแฟชั่น ความงาม อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ฯลฯ ดังนั้น ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนจึงหลากหลาย ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
3. ภายใต้สถานการณ์ปีหน้าที่ภาคส่งออกของไทยเสี่ยงหดตัวจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก คู่ค้าหลักของไทยหลายประเทศ เช่น ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเสี่ยงเผชิญเศรษฐกิจหดตัว ทั้งนี้ ปัญหาในภาคส่งออกเริ่มมีสัญญาณตั้งแต่ ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ตัวเลขส่งออกติดลบ 4.4% โดยเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 20 เดือนนับแต่ ก.พ. 2564 การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในปีหน้า จึงเรียกได้ว่าถูกที่ถูกเวลา ช่วยให้ภาคท่องเที่ยวเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยได้
หน่วยงานเศรษฐกิจจ่อปรับจีดีพีรับนักท่องเที่ยวจีน
สัญญาณการเปิดประเทศของจีนที่มีผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนทำให้หน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆเตรียมที่จะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นรับการเข้ามาท่องเที่ยว และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงการเปิดประเทศของจีนให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.นี้ และเที่ยวบินแรกได้เดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 9 ม.ค.นี้ว่า สศช.อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยโดยต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์เพื่อติดตามสถานการณ์ว่าจะมีการปรับประมาณการนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ปัจจุบัน สศช.คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 ว่าจะเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 23 ล้านคน และจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท โดยสมมุติฐานดังกล่าวนั้นเดิมคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มเข้าสู่ประเทศไทยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 แต่เมื่อนักท่องเที่ยวจีนเข้าสู่ประเทศไทยเร็วขึ้นก็อาจมีการปรับประมาณการจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้โดยจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ในการแถลงข้อมูลดังกล่าวนี้ในการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2565 ในเดือน ก.พ.ที่จะถึงนี้
“การที่จีนเปิดประเทศเร็วขึ้นและมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศไทยเร็วขึ้นส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่การท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร โรงแรม การค้าขาย ห้างสรรพสินค้าก็จะได้ประโยชน์มีรายได้ และการจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยมาตรการสาธารณสุขที่เราใช้ประกอบกับการได้รับวัคซีนประมาณ 70% ของคนไทยก็จะสามารถที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ทั้งนี้ก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ช่วยรักษาชื่อเสียงในการท่องเที่ยวของประเทศไทยไว้ด้วย”
ส่วนการที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังไทยเร็วขึ้นจะมีผลต่อจีดีพีในปีนี้หรือไม่ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่าในปีนี้ สศช.คาดการณ์จีดีพีว่าจะขยายตัวประมาณ 3 – 4% ทั้งนี้แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเร็วขึ้นแต่เนื่องจากในปีนี้ประเด็นที่ต้องจับตามองอีกเรื่องคือเรื่องของภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีถึง 70% ซึ่งการที่ภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน
ซิตี้แบงก์มองนักท่องเที่ยวจีนหนุนเงินบาทแข็งค่า
สอดคล้องกับการประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทยที่ได้มีการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน โดยคิดเป็นนักท่องเที่ยวจีนราว 3.9 ล้านคน (หรือ 35% ของ นักท่องเที่ยวจีน ปี 62) อันเป็นผลจากการที่ประเทศจีนเปิดประเทศเร็วกว่าความคาดหมาย ทำให้มีนักเดินทางชาวจีนเดินทางเข้าประเทศเกินกว่าการประมาณการณ์ไว้ในเบื้องต้น 1.7 ล้านคน (หรือ 15% ของปี 62)
อย่างไรก็ตามด้านยอดการใช้จ่ายต่อคนของนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลงกลับคืนสู่ระดับใกล้เคียงปี 62 หรือ 1,562 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่ากำลังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้ลดลงต่ำกว่าในปี 63 (ที่ 2,000 ดอลลาร์) และในปี 2564 (ที่ราว 12,000 ดอลลาร์) หรือในช่วงการระบาดของโควิด-19
ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมาระยะยาวหรือเป็นการเดินทางเพื่อเจรจาธุรกิจมากกว่าการมาพักผ่อนระยะสั้นๆ ทำให้ซิตี้แบงก์ได้ปรับการคาดการณ์ดุลบัญชีเงินสะพัดของปี 65 มาอยู่ที่ -3.3% ของ GDP จากเดิมที่ -1.6% รวมถึงปรับลดดุลบัญชีสะพัดปี 66 ที่น่าจะกลับมาเกินดุล มาอยู่ที่ 2.4% ของ GDP ในปี 66 จากเดิมที่ 3.8% (โดยใช้ประมาณการค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ 1,590 ดอลลาร์)
แม้จะปรับลดการคาดการณ์รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาระยะสั้นมากขึ้น แต่การที่มีนักท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วน และเสริมสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงคาดว่าในปี 2566 GDP ของประเทศจะเติบโตอยู่ที่ 4.3% อีกทั้งในปี 66 เงินบาทจะแข็งค่าจากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยเรื่องการไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์เช่นกัน
ด้านการบริโภคของภาคเอกชนจะมีการเติบโตที่ดี ด้วยแรงสนับสนุนจากภาวะเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และความมั่นใจที่มากขึ้นของผู้บริโภค โดยมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างโครงการช้อปดีมีคืน หรือแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะเป็นแรงช่วยสนับสนุนอีกแรง อนึ่ง การจ้างงานในหลายภาคส่วนกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด