เศรษฐกิจเวียดนามโดดเด่น
ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีขนาดใหญ่ระดับโลกอย่าง รัสเซีย บราซิลและจีน ต่างซบเซากันถ้วนหน้า แต่เศรษฐกิจเวียดนามกลับสวนกระแสขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น คาดการณ์ว่าการเติบโตเกือบ 7% ในปีนี้ จะทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในประเทศตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ปัจจัยบวกมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงที่เพิ่มขึ้นมาก ช่วยหนุนให้เวียดนามเปล่งประกายเจิดจรัสท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ยังคงต้องเผชิญกับการเทขายหุ้น และเงินอ่อนค่าในปีนี้
จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่พุ่งขึ้น จึงมีผลต่อเนื่องให้เวียดนามเริ่มเข้าสู่สภาวะผู้นำทางเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อลักษณะการปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเติบโต
โดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้ร่างแผนพัฒนาทางสังคม และเศรษฐกิจสำหรับปี 2559-2563 เพื่อแสดงว่า เวียดนามได้ตั้งเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ในแต่ละปี
นายตรินห์ เหงียน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ในตลาดเกิดใหม่ของ แนททิซิส เอสเอ ประจำสาขาฮ่องกง ให้ความเห็นว่า “ท่ามกลางภาวะที่ซบเซาทั่วโลก อุปสงค์ภายในประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คนเวียดนามต่างมองอนาคตของประเทศไปในแง่บวก ถ้าเปรียบเทียบกันในระดับภูมิภาค และระดับโลก เวียดนามดีกว่าทุกประเทศ”
ทั้งนี้จากข้อมูลของนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเวียดนามจะขยายตัว 6.7% ในปีนี้ เท่ากับตัวเลขของปี 2558
นางยูจิเนีย วิคตอริโน นักวิเคราะห์จากธนาคารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ให้ความเห็นว่า “เวียดนามจะยังคงโดดเด่นต่อไปในปี 2559 อย่างไรก็ตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจในระยะยาวขึ้นอยู่กับผลของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะมีขึ้นในปีหน้าด้วย”
นางยูจิเนีย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ธนาคารกลางของเวียดนามพยายามที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจมหภาคแข็งแกร่งขึ้น และช่วยลดแรงกดดันในส่วนเงินสำรองประเทศอีกด้วย
มีข้อมูลจากทางรัฐบาลว่า การบริโภคภาคเอกชนพุ่งขึ้นถึง 9.3% ในปีที่แล้ว การลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงทะยานเพิ่มขึ้นถึง 17.4% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557 ทำให้มีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 14,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 507,500 ล้านบาท (35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ทั้งนี้ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าที่จะยกระดับจีดีพีต่อหัวจาก 3,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 112,000 บาท เป็น 3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 122,500 บาท ภายในปี 2563 จะควบคุมเงินเฟ้อให้ต่ำกว่า 5% และการขาดดุลงบประมาณจะอยู่ที่ 4% ของจีดีพี
นางวิคตอริโน ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ในปี 2559 และ 2560 นักวิเคราะห์เชื่อว่าเวียดนามจะยังเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดต่อไป แต่สิ่งที่อาจทำให้เศรษฐกิจเวียดนามสะดุดได้ คือการขาดดุลการค้าที่เกิดจากการนำเข้าที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากการบริโภค เช่น รถยนต์”