เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
ธนาคารกลางแห่งสหรัฐ หรือเฟด ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
โดยเฟดเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายเพื่อธนาคารพาณิชย์อีก 0.25% มาอยู่ที่อัตรา 2.0% – 2.25% โดยส่วนใหญ่ระบุว่า คาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นครั้งที่ 8 แล้วนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา และเฟดยังคงดำเนินตามนโยบายที่จะมีการทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้นักลงทุนกำลังคาดเดาว่าดอกเบี้ยของเฟดจะพุ่งสูงแค่ไหน หรือมองหาสัญญาณว่าจะมีการเร่งจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร
จนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังคงต่ำอยู่ สะท้อนให้เห็นการตัดสินใจของเฟดที่จะลดความร้อนแรงลงในระหว่างวิกฤตการเงิน เป็นความพยายามที่จะส่งเสริมการกู้ยิม และหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
แต่เจอโรม “เจย์” พาวเวล และนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆระบุว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันแข็งแกร่งพอ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่มีความจำเป็น
อีกต่อไป โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เฟดประกาศยุติการใช้คำอธิบายนโยบายว่า การผ่อนคลายเศรษฐกิจ
โดยพาวเวลระบุในวันที่ 26 ก.ย.ว่าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเฟดที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยใช้คำอธิบายว่า “เป็นช่วงเวลาที่สดใสโดยเฉพาะ” แต่เขาเสริมว่า ทางธนาคารตระหนักถึงความกังวลซึ่งเป็นการประสานเสียงมาจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับความเสี่ยงจากมาตรการภาษีการค้าสหรัฐฯ ซึ่งขัดขวางซัพพลายเชนและนำไปสู่การตอบโต้จากจีนที่ส่งผลต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ
พาวเวลเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรไปเป็นโลกที่มีการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจทั่วโลก เขาคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโดยรวมจะไม่ถูกกระทบมากนัก
“ เรายังไม่เห็นผลกระทบมากนัก” เขากล่าวในการแถลงข่าวในวอชิงตันหลังการประชุม
จีดีพีสหรัฐฯ เติบโตมากกว่า 4% ต่อปีในไตรมาส 2 ของปีนี้ และอัตราการว่างงานยังคงต่ำกว่า 4% ซึ่งถือว่าต่ำเกือบทำลายสถิติในประวัติศาสตร์ ตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาและจะปรับขึ้นได้ตามเป้าของเฟดคือ 2%
ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 3.1% ในปีนี้ สูงกว่า ตัวเลขคาดการณ์คือ 2.8% ในเดือนมี.ค. อ้างอิงจากตัวเลขที่มีการเปิดเผยหลังการประชุม ขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 2% ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
โดยเฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2562 และอีกครั้งในปี 2563 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 3.4% ในปีนั้น
ทั้งนี้ มีการชะลอตัวลงในบางภาคส่วนในสหรัฐฯ เข่น ยอดขายบ้านและรถยนต์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลเรื่องราคาและขอทบทวนการตัดสินใจ
ขณะที่พาวเวลระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯประสบความสำเร็จ เติบโตได้ดีเกินคาด แต่นักวิเคราะห์กังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะงัก
การปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ทำให้ประธานาธิบดีโดนัล์ ทรัมป์ไม่พอใจอีกครั้ง โดยที่ผ่านมา เขามักจะกล่าวโจมตีนโยบายการเงินของเฟดออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. เขาก็โจมตีซ้ำอีก โดยระบุว่า เขาจะพอใจหากสามารถกู้ยืมเงินได้ด้วยดอกเบี้ยที่ถูกลง
“ ผมกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่า เฟดดูจะชอบขึ้นดอกเบี้ย เราสามารถทำอย่างอื่นกับเงินได้อีก”.