สหรัฐฯแข่งจีนลงทุนในเอเชีย
สหรัฐฯ มีแผนจะใช้งบประมาณจำนวน 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับเศรษฐกิจดิจิทัล พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นความพยายามที่จะตั้งรับกับอิทธิพลที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นของจีน
ไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯให้คำมั่นที่สหรัฐฯ จะกำหนดกรอบยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ‘อินโด-แปซิฟิก’ ในการกล่าวสุนทรพจน์กับบรรดาผู้นำธุรกิจในกรุงวอชิงตัน
โดยเขากล่าวว่า สหรัฐฯเชื่อในแนวคิดหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ไม่ใช่การพึ่งพาทางยุทธศาสตร์
คำประกาศนี้มีขึ้นในเวลาที่สหรัฐฯและจีนกำลังอยู่ในสภาวะที่ตอบโต้กันไปมาในประเด็นสงครามการค้า
ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการสร้างอิทธิพลในภูมิภาคกลุ่มประเทศที่เรียกว่า ‘อินโด-แปซิฟิก’ ซึ่งรวมถึงชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้นโยบายเศรษฐกิจ Belt and Road ของจีน
แต่จำนวนการลงทุนของสหรัฐฯที่ไม่สูงมาก จึงดูคล้ายกับหยดน้ำในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับเงินลงทุนจำนวนนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯของจีนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อฟื้นฟูท่าเรือ ถนน และทางรถไฟทั่วเอเชียและประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากนี้
แนวนโยบาย Belt and Road เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจีนที่พยายามจะเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางยุทธศาสตร์ให้แผ่ขยายไปทั่วโลก
รมว.ปอมเปโออ้างถึงจุดนี้ในสุนทรพจน์ของเขาที่มีขึ้นในกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ” สหรัฐอเมริกาไม่ได้ลงทุนเพื่ออิทธิพลทางการเมือง แต่เพื่อเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจมากกว่า” เขากล่าว
“เงินลงทุนเหล่านี้เป็นเพียงการจ่ายเงินดาวน์ในยุคใหม่ของข้อผูกพันทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯเพื่อสันติภาพและความมั่งคั่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”
นอกจากจำนวนเงินทุนที่เกี่ยวข้อง นักวิเคราะห์ระบุว่าเป็นสัญญาณที่ชี้ชัดว่าสหรัฐฯ ตั้งใจที่จะเพิ่มข้อผูกพันทางเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชียให้มากขึ้น
ทั้งนี้ สหรัฐฯพยายามที่จะยกระดับนโยบายการกีดกันทางการค้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในปี 2559 โดยมีความชัดเจน
ตั้งแต่เขาถอนสหรัฐฯออกจากการเป็นประเทศสมาชิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) ในปี 2560
เมื่อต้นเดือนก.ค.สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯกับสินค้านำเข้าจากจีน โดยสหรัฐฯกล่าวหาจีนว่าขโมยทรัพย์สิน
ทางปัญญาของสหรัฐฯ มานาน จึงต้องใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกับจีน เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯมีต่อจีน.